Filmvirus Special*
แปลจากภาษาเยอรมันโดย เฉิดฉวี แสงจันทร์
พิมพ์ครั้งแรกที่นี่ นิมิตวิกาล - filmvirus

(หมายเหตุ: ส่วนใหญ่ผลงานของ ชเรอเท่อร์ เป็นหนังสี แต่ภาพประกอบผลงานแรก ๆ ของเขาที่ ฟิล์มไวรัส หาได้นั้นนำมาจากภาพในนิตยสาร)
แวร์เนอร์ ชเรอเท่อร์ (หรือออกเสียง ชรือเตอร์) เป็นผู้กำกับเยอรมันที่อุดมไปด้วยความขัดแย้ง เพราะทั้งได้รับความศรัทธาอย่างสูงในเยอรมนี แต่ขณะเดียวกันก็เป็น 1 ในผู้กำกับเยอรมันที่ถูกมองข้ามบ่อยที่สุดในประเทศตัวเอง (ทำนองเดียวกับ Herbert Achternbusch, Helma Sander Brahms, Helke Sander, Robert Van Ackeren ฯลฯ) อีกทั้งยังเป็นคนทำหนังเยอรมันที่นานาชาติมีโอกาสได้ทำความรู้จักน้อยที่สุดคนหนึ่ง (อาจจะยกเว้นก็แต่ในฝรั่งเศส และญี่ปุ่นเท่านั้น) ต่อให้ใครต่อใครตั้งแต่ ไรเนอร์ แวร์เนอร์ ฟาสบินเดอร์, แวร์เนอร์ แฮร์โซก หรือกระทั่ง วิม เวนเดอร์ส ซึ่งเป็นหัวกะทิของ New German Cinema ต่างก็ยกย่องเขาเป็นเบอร์ต้น ๆ ของบรรดาคนทำหนังเยอรมัน ขนาดที่ ฟาสบินเดอร์ ยังเคยประกาศว่า คงมีสักวันที่โลกจะตระหนักถึงความยิ่งใหญ่ของ ชเรอเท่อร์
แวร์เนอร์ ชเรอเท่อร์ (หรือออกเสียง ชรือเตอร์) เป็นผู้กำกับเยอรมันที่อุดมไปด้วยความขัดแย้ง เพราะทั้งได้รับความศรัทธาอย่างสูงในเยอรมนี แต่ขณะเดียวกันก็เป็น 1 ในผู้กำกับเยอรมันที่ถูกมองข้ามบ่อยที่สุดในประเทศตัวเอง (ทำนองเดียวกับ Herbert Achternbusch, Helma Sander Brahms, Helke Sander, Robert Van Ackeren ฯลฯ) อีกทั้งยังเป็นคนทำหนังเยอรมันที่นานาชาติมีโอกาสได้ทำความรู้จักน้อยที่สุดคนหนึ่ง (อาจจะยกเว้นก็แต่ในฝรั่งเศส และญี่ปุ่นเท่านั้น) ต่อให้ใครต่อใครตั้งแต่ ไรเนอร์ แวร์เนอร์ ฟาสบินเดอร์, แวร์เนอร์ แฮร์โซก หรือกระทั่ง วิม เวนเดอร์ส ซึ่งเป็นหัวกะทิของ New German Cinema ต่างก็ยกย่องเขาเป็นเบอร์ต้น ๆ ของบรรดาคนทำหนังเยอรมัน ขนาดที่ ฟาสบินเดอร์ ยังเคยประกาศว่า คงมีสักวันที่โลกจะตระหนักถึงความยิ่งใหญ่ของ ชเรอเท่อร์
ชเรอเท่อร์ ทำหนังและกำกับละครโอเปร่าในลีลาสุดขั้ว แสดงออกทางสีสันอารมณ์อย่างสุดสวิง ห่างไกลจากความเป็นธรรมชาติอย่างที่สุด การบอกเล่าถึงหนังผิดประหลาดพิลึกพิลั่นของเขา โดยที่ผู้ชมไม่มีโอกาสรับรู้ด้วยตนเอง นั้นดูจะเป็นไปไม่ได้เลย
.jpg)
เทศกาลหนัง ชเรอเท่อร์ ในแบบเกือบครบชุด พร้อมกับตัวจริงที่เดินทางมาไทย เคยจัดฉายที่สถาบันเกอเธ่ กรุงเทพ ฯ มาแล้วครั้งหนึ่ง เมื่อประมาณ 20 ปีที่แล้ว และในรอบ 2-3 ปีที่ผ่านมานี้ ทาง ดวงกมลฟิล์มเฮ้าส์ (ฟิล์มไวรัส) ก็เคยนำฟิล์ม 16 มม. มาจัดฉายให้ชมกันไปบางเรื่อง เช่น ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และร้านเฮมล็อค (Malina กับThe Death of Maria Malibran) หวังว่าในโอกาสหน้าที่ต่างประเทศคงจะมีหนังของเขาผลิตจำหน่ายในรูป DVD บ้างในเร็ววัน

แต่ข่าวดีก็คือเมื่อเดือนกันยายนของปีที่แล้ว (2006) ได้มีหนังสือวิเคราะห์งานของ ชเรอเท่อร์ ออกจำหน่ายเป็นเล่มแรกในภาษาอังกฤษ โดยใช้ชื่อว่า Allegorical Images: Tableau, Time and Gesture in the Cinema of Werner Schroeter ของสำนักพิมพ์ Intellect Ltd. แต่งโดย Michelle Langford ซึ่งนับว่าออกช้าไปถึง 2 ทศวรรษ แต่ก็เป็นที่เข้าใจได้ ถ้าคำนึงถึงว่า แม้กระทั่งขณะนี้หนังของชเรเทอร์ ก็ไม่เคยถูกซื้อไปจัดจำหน่ายในรูปแบบใด ๆ ในอเมริกา
ชเรอเท่อร์ เคยร่วมแสดงในหนังสั้นเรื่อง Alabama: 2000 Light Years ของ วิม เวนเดอร์ส ส่วน ดาเนี่ยล ชมิด (Daniel Schmid) ผู้ร่ายบทสัมภาษณ์ต่อไปนี้ก็เป็น 1 ในผู้กำกับหนังอาร์ตเฮ้าส์ของเยอรมนีเช่นกัน อีกทั้งยังเคยทำหนังกับ ชเรอเท่อร์ และร่วมแสดงใน The American Friend ของ เวนเดอร์ส อีกด้วย
-บันทึกโดย Filmvirus -

โดย ดาเนียล ชมิด (Daniel Schmid)
(บทสัมภาษณ์นี้ประมาณปี 1980)
เป็นหน้าที่ทางสังคมของศิลปะหรือที่จะไม่เข้าหาสังคม แต่ต่อต้านสังคมหรือไม่ข้องเกี่ยวกับสังคมเลย พูดง่ายๆก็คือ หน้าที่ทางสังคมที่คุณกำลังทำอยู่นี้คือการที่จะต่อต้านสังคม หรือไม่ยุ่งเกี่ยวกับสังคมหรือ

มีคำพูดของใครสักคนที่ผมเห็นว่าดีมากๆคือ ในสังคมวัตถุนิยมชนชั้นกลางนั้นมีฐานะสองอย่างที่ยังคงมีขอบเขตของเสรีภาพอยู่บ้าง คือของอาชญากรและของศิลปิน และผมเห็นด้วยเต็มกับความเห็นที่ว่าฐานะทั้งสองนี้มีขอบเขตที่ก้ำกึ่งกันอยู่ และไม่ใช่เพราะการมีอาชีพทางศิลปะเป็นเรื่องแปลกพิเศษอะไรเลย อย่างที่เราก็ได้เห็นตัวอย่างกันในเยอรมันตะวันออกสมัยเป็นคอมมิวนิสต์ว่า ศิลปะสามารถถูกทำให้เป็นงานราชการได้เมื่อประชาชนไม่เรียกร้องในสิ่งที่เหมาะควร และมีการจำกัดขอบเขตที่ได้ผล












เราจะนำช่วงเวลาที่ก้าวร้าวหรือเต็มไปด้วยความก้าวร้าวทั้งหมดมาใช้ได้ไกลขนาดไหนเพื่อที่จะผลักดันให้ขบวนการสร้างสรรค์ก้าวไปข้างหน้า

ผมเชื่อว่าความก้าวร้าวถ้าไม่สูญเสียความรู้สึกร่วมต่อสิ่งต่างๆรอบข้าง คือไม่แยกออกไปอย่างโดดเดี่ยวแล้ว ย่อมเป็นขบวนการที่มีค่ามาก ผมไม่มีความข้องใจในการใช้ความก้าวร้าว แต่ต้องไม่ใช่แบบ “ฉันตกต่ำเพราะไอ้ห่าคนนั้น ฉันจะฆ่ามัน” นั่นไม่ใช่ความก้าวร้าวแต่เป็นเรื่องของการเยียวยาทางสังคม

การปฏิเสธความก้าวหน้าอาจจะมีลักษณะก้าวร้าวได้
นั่นเป็นความก้าวร้าวในแง่ลบ เราสามารถตอบโต้การปฏิเสธแข็งขืนด้วยความเฉยเมยหรือความเป็นมิตรได้...ความเฉยเมยเป็นสิ่งที่แย่ที่สุดที่ทำได้..สำหรับผมแล้วความเฉยเมยเป็นการวางตัวที่มีเหตุจากคนอื่นที่นั่งอยู่ตรงกันข้าม หรือใครก็ตามที่สำหรับคุณเป็นคนที่น่ากลัวตั้งแต่ต้น หมายความถึงมีอันตรายสำหรับคุณ




สำหรับผม การเมืองของ ฮิตเล่อร์ ในประการแรกเป็นเรื่องการรับมือกับความขัดแย้ง หมายความว่าการชี้ให้เห็นโลกเป็นสีดำขาวตัดกันเพื่อที่เราจะสามารถรับรู้ถึงสีขาวได้ การเมืองเรื่องแบ่งแยกเชื้อชาติมีฉากหลังทางจิตวิทยานับได้เป็นพันอย่าง เช่นว่าความขัดแย้งเรื่องยิวกับพลังอำนาจที่เพิ่มขึ้นถูกนำมาเปรียบเทียบกับเรื่องทางการค้าด้วย

ปกติธรรมดาเรื่องแบบนี้จะเกิดขึ้นในวงครอบครัวเท่านั้น แบบ..ถ้าฉันทำให้มันแข็งขึ้นไม่ได้ก็กลายเป็นคนอื่นผิด ถ้าสังวาสไม่ได้ก็เป็นความผิดคนอื่นไป นี่คือแนวคิดทั้งหมดของฮิตเล่อร์และมันก็ได้ผลเต็มที่ เพราะดูแล้วก็ไม่มีใครในเยอรมันที่สังวาสเป็น ด้วยเหตุนี้เองปัญหาการไร้พลังความสามารถจึงถูกผลักไสไปสู่คำถามเรื่องเชื้อชาติได้อย่างง่ายดาย แต่แน่ละว่าการสูญเสียสภาพความเป็นจริงที่เป็นเสมือนจุดเริ่มต้นเป็นตัวผลักดันอยู่เบื้องหลัง เพราะว่านั่นคือการสูญเสียสภาพความเป็นจริงทั้งมวลแท้ๆ ถ้าคิดว่า ฉันสามารถแก้ปัญหานั้นได้ถ้าฉันฆ่าประชาชนและก็จัดการฆ่าหมู่ขึ้นมา

No comments:
Post a Comment