1/17/10

หวานฝัน วันวานร - Lopburi, Mon Amour

หลังเขียนข้อความนี้ ข้าน้อยก็คงจะลาจรไปปักหลักเก็บข้อมูลทำบทหนังอยู่ลพบุรีเป็นที่แน่นอนแล้ว อย่างน้อยประมาณ 3 เดือนจากนี้คงไม่มีการอัพเดทอะไรเพิ่ม งดดูหนัง - งดการฉายหนัง - งดการจัดทำหนังสือ ทั้ง filmvirus และ bookvirus แต่จะเป็นชั่วคราวหรือตลอดไป ตัวเองยังสงสัย ก็โปรเจ็คท์หนังสือที่ดองเองและถูกสนพ. ดองก็ยังมีอยู่น่ะ หวังว่าทางโอเพ่นคงจัดพิมพ์ออกมาในเร็ววัน แอบหวังด้วยว่าคงจะมีคนรีวิวหนังสือบ้างสักนิดหนึ่ง

กำแพงวังนารายณ์ที่ลพบุรีกำลังทาสีใหม่ เป็นเรื่องที่แย่ที่สุดของคนที่อยากจะถ่ายกำแพงเก่า เท่าที่ทราบจากคุณ โดม สุขวงศ์ ผู้เป็นที่เคารพรักแห่งหอภาพยนตร์แห่งชาติ ยังไม่เคยมีใครถ่ายหนัง fiction ความยาวปกติที่ถ่ายในลพบุรีเลยสักที มันเป็นความฝันสูงสุดในชีวิตของข้าน้อยเลยทีเดียวที่จะทำหนังสักเรื่องที่ถ่ายหนังที่นั่น ให้เป็นลพบุรีในความรักความศรัทธาแบบที่ฝัน ถึงจะเป็นจินตนาการส่วนตัวที่ยัดเยียดบ้างก็เถอะ แต่ก็จะพยายามคงความเป็นเมือง ความเป็นท้องถิ่น ไม่ให้เสียวิญญาณผู้คนที่นั่นมากนัก เพราะในชีวิตบูดเบี้ยวนี้มีโครงการหนังเพียง 2 เรื่องเท่านั้น ที่มีความหมายส่วนตัวอย่างมากจริง ๆ และเรื่องนี้ก็คืออันหนึ่งในสองเรื่องที่ว่า ที่หากไม่ได้ทำออกมาคงรู้สึกชีวิตที่ผ่านมาไร้ค่าเสียชาติเกิดสิ้นดี แต่โอเค ถ้าหาสตางค์ถ่ายไม่ได้ ก็เอาแค่ได้บทหนัง หรือทำเป็นหนังสือการ์ตูนน่ะ

ในฐานะของคนที่โตมาในยุคที่หนังไทยคุณภาพแทบทุกเรื่องมักจะได้ชื่อว่าสร้างจากนวนิยาย แต่ ฟิล์มไวรัส ก็ยังย้ำเน้นถึงการทำหนังแบบหนังบริสุทธิ์ที่ปฏิเสธอิทธิพลของวรรณกรรม และโปรหนังแบบ pure cinema อยู่บ่อยครั้ง ไอเดียหนังเรื่องนี้ ‘หวานฝันวันวานร’ หรือ Dream of the Red Monkeys อาจเชย ตกยุค คบชู้กับพล็อตเรื่องมากมาย และอาจจะฟังดูขัดแย้งกับสิ่งที่ ฟิล์มไวรัส มักเทศนา แต่ก็นั่นล่ะ จะเป็นหนังเล่าเรื่อง หรือหนังไร้เรื่อง จะมีกระบวนท่า หรือไร้กระบวนท่า กระบี่บิน คุมกระบี่ เหนือกระบี่ หรือไร้กระบี่ อันนั้นให้นักวิจารณ์และคนดูตัดสิน

ใครตัดต่อหนังเป็นบอกที อยากได้คนช่วยตัด MV ในระบบภาพ AVCHD

The Desert of the Tartars จากนิยายเรื่อง The Tartar Steppe ของ Dino Buzzati และหนังโสเภณีเด็กไทย Children of the Dark

รูปนี้เป็นภาพป้อมปราการ Arg-é Bam (ارگ بم หรือ Bam Citadel http://en.wikipedia.org/wiki/Arg-e_Bam ที่เมือง Bam ในอิหร่านซึ่งเก่าแก่กว่า 2,000 ปี และเคยเป็นศูนย์กลางการค้าขาย silk road และเป็นเส้นทางสำคัญของการแสวงบุญแล้วตอนหลังใช้เป็นคลังแสงของทหาร ก่อนถูกทอดทิ้งไว้เปล่า ๆ

ประมาณ 30 ปีก่อนที่มันจะโดนแผ่นดินไหวหนักเสียพังทลายในปี 2003 (จนต้องบูรณะใหม่) มันเคยถูกใช้เป็นโลเกชั่นถ่ายหนังปี 1976 เรื่อง The Desert of the Tartars ของผู้กำกับที่ถูกหลงลืมอย่าง Valerio Zurlini http://www.imdb.com/title/tt0074400/ ที่รวมดาวดารายุโรปอย่าง Max von Sydow, Philippe Noiret, Jean-Louis Trintignant, Vittorio Gassman, Guiliano Gemma, Francisco Arabal, Fernando Ray, Helmut Greim และ Jacques Perrin ที่เป็นทั้งพระเอกหล่อเหลาและโปรดิวเซอร์ของหนังเรื่องนี้ (คนดูหนังรุ่นใหม่อาจคุ้นหน้าจากบทอาจารย์ที่น้องสาวคนเล็กแอบมีสัมพันธ์ Hell ของ Danis Tanovic จากบทของ Kieslowski)
ดนตรีประกอบของ Ennio Morricone ที่มีเสียงปืนทหารก็ฟังดูหลอนดี พล็อตเรื่องมีส่วนคล้าย The Castle ของ Franz Kafka คือคนที่รอคอยอะไรสักอย่างแล้วมันมาไม่ถึงเสียที (ในกรณีนี้คือทหารที่วัน ๆ เฝ้าป้อมปราการรอวันจะรบ แต่ศัตรูก็ไม่ยักมา หรือเป็นเพียงภาพหลอกตา) แต่บรรยากาศในปราสาทชวนนึกถึงหนังของ Brothers Quay เรื่อง Institute Benjamenta (สร้างจากนิยายของ Robert Walser ต้นทางของ Kafka อีกที – อ้างถึงใน Bookvirus 01) ที่มีโรงเรียนสอนวิชาอะไรก็ไม่รู้ เรียนไปทำไมก็ไม่บอก แล้วตัวเอกไปหลงรักกับครูผู้หญิงหรือนายของบ้าน มันมีบรรยากาศของความสนเท่ห์ต่อเผด็จการหรืออำนาจทหารอยู่ในนิยายสองเรื่องนี้ แต่บรรยากาศของสถานที่ที่กำลังล่มจมรอวันวินาศ และประเด็นคุณนายของบ้านที่กำลังสลายตัวทีละน้อย อาจจุดประกายมาจากเรื่องสั้นของ เอ็ดการ์ อลัน โปเรื่อง The Fall of the House of Usher อีกที (แนะนำควรหาอ่านฉบับแปลที่อ้างถึงใน Bookvirus 01 และดูหนังฉบับ โรเจอร์ คอร์แมน และฉบับฝรั่งเศสของ Jean Epstein (ถ้าใครชอบ Vampyr แนวกวีแบบ Carl Dreyer)

นอกจากนั้นพล็อตที่ทหารเฝ้าค่ายเปล่า ๆ ปลี้ ชวนให้นึกถึงทหารเฝ้าเกาะใน Mediterraneo ที่ได้รางวัลออสการ์ หรือหนัง Werner Herzog เรื่องแรก Signs of Life แต่แน่นอนว่า ทั้ง The Desert of the Tartars และเรื่องอื่น ๆ ที่อ้างมา อารมณ์ต่างกันมากมายนัก

The Desert of the Tartars สร้างจากนิยายคลาสสิกเรื่อง The Tartar Steppe (ปี 1940) ของ Dino Buzzati นักเขียนชาวอิตาลี่ที่มีฝีมือทางการวาดรูปและเขียนหนังสือการ์ตูนด้วย นิยายเล่มนี้เป็นเล่มที่สร้างชื่อให้เขามากที่สุดและถูกเปรียบเทียบกับบทความ Existentialist อันเลื่องลือของ Albert Camus ชิ้นที่ชื่อ The Myth of Sisyphus เพียงแต่ของ Camus เขียนทีหลัง 2 ปี และ อัลแบร์ต กามูส์ ก็เคยดัดแปลงบทละครของ Buzzati เรื่อง Un caso clinico เอาไปทำเป็นละครเวทีด้วย

หลังปีใหม่ ทิ้งท้ายการดูหนังด้วยการดูหนัง ฝันโคตร ๆ , My Mighty Princess, Moon, Cyborg Girl, Factory, Revanche และ Children of the Dark (2008) เรื่องหลังนี่เคยพูดถึงไปบ้างแล้ว http://twilightvirus.blogspot.com/2009/02/junji-sakamoto.html เพราะเป็นหนังของ Junji Sakamoto ที่สร้างเรื่อง Bokunchi (My House) ซึ่งข้าน้อยเอง เคยเขียนชื่นชมมากในหนังสือ 151 Cinema ตัวหนังอื้อฉาวเกี่ยวกับโสเภณีเด็กและการขายอวัยวะเด็กไทยให้ญี่ปุ่น (ที่ถูกแบนใน Bangkok Film Festival ที่เมืองไทยจนคนญี่ปุ่นได้ข่าวแล้วรีบขยายโรงเพิ่มที่ญี่ปุ่นให้คนบ้านเขาแห่ไปดู) ตัวหนังอาจจะดูลักลั่นเสียฟอร์ม ซากาโมโต้ไปหน่อย ตอนจบก็ไม่น่าเชื่อถือด้วย แต่ก็ได้เห็นแก๊งพี่น้องซีรี่ส์ข้าวห่อไข่สองคน คนพี่ Yosuke Eguchi พูดไทยฟังไม่รู้เรื่องเลย แถมบทพูดไทยเยอะมาก คนน้อง Satoshi Tsumabuki (Nada sô sô) รวมทั้ง Aoi Miyazaki (Eureka) และดาราไทยอย่าง ไปรมา รัชตะ และ สุนทรีย์ ใหม่ละออ (คนหลังนี้แสดงเวอร์ซะ) และที่คุ้นหน้าอีกมากมาย ที่เห็นหน้าก็ขำแล้วคือซูโม่ตุ๋ยในบทหมอผ่าตัด (ชวนเชื่อไหมอะ)