9/4/07

ขุดกรุวิจารณ์ บทที่ 1: La Notte (The Night) ภาพยนตร์ของ Michelangelo Antonioni

La Notte (The Night)

Michelangelo Antonioni 's film in Bangkok (42 years ago)
ภาพยนตร์ของ มิเคลันเจโล อันโตนีโอนี่ ฉายในกรุงเทพ ฯ เมื่อ 42 ปีที่แล้ว

* * หมายเหตุ: ต่อไปนี้คือบางส่วนจากคลังบทวิจารณ์ในอดีต ที่ว่าด้วยหนังอิตาลี่เรื่อง La Notte (The Night) 1 ในผลงานชิ้นเอกในระดับเดียวกับ Blow Up, The Passenger, L' Avventura และ The Eclipseของ มิเคลันเจโล่ อันโตนีโอนี่ ยอดผู้กำกับที่เพิ่งล่วงลับไปไม่กี่อาทิตย์ก่อน

La Notte เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับทางตันของชีวิตคู่ และชีวิตสมัยใหม่ซึ่งดำเนินไปด้วยความอ้างว้างวังเวงในสไตล์ถนัดของ มิเคลันเจโล อันโตนีโอนี่ (จินตนาการถึง In The Mood for Love ของ Wong Kar Wai แบบตัดมิวสิควีดีโอออก)

แม้ filmvirus จะไม่เห็นด้วยกับเหตุผลหลายอย่างของผู้วิจารณ์ในแง่ของความน่าเบื่อของการนำเสนอ (ที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะของผู้กำกับซึ่งมีอิทธิพลต่อคนทำหนังรุ่นหลังมากมาย) และการแสดงแบบไร้ชีวิตชีวาของดารานำทั้งสอง (ขนาด อิงมาร์ เบิร์กแมน / Ingmar Bergman ที่ไม่นิยมในผลงานของอันโตนีโอนี่ ยังมีคำชื่นชมมากมายให้กับนางเอกของเรื่อง-ฌาน มอร์โร)

แต่บทวิจารณ์นี้ก็อาจมีประโยชน์สำหรับบางท่านที่สนใจการตอบรับกระแสหนังศิลปะประเภทนี้ รวมทั้งลักษณะงานวิจารณ์หนังในเมืองไทยสมัยเก่าก่อน



(ภาพประกอบจากหนังสือพิมพ์ Bangkok Post)

หนังเรื่องนี้เคยเข้าฉายในเมืองไทยที่โรงภาพยนตร์เมโทรประตูน้ำ (ปัจจุบันตัวอาคารยังคงอยู่เยื้องกับห้างพันธุ์ทิพย์) * * *


คืนพิศวาส (The Night)
โดย พิพัฒน์ โกศัลวัฒน์
จาก สยามนิกร 24 ธันวาคม 2508

ภาพยนตร์อิตาลีสีขาวดำ, ยูเอจำหน่าย, กำกับโดย มิเชลแอนเจโล แอนโตนิโอนี
วิจารณ์โดย พิพัฒน์ โกศัลวัฒน์



มิเชลแอนเจโล แอนโตนิโอนี่ ผู้กำกับหนุ่มฉกรรจ์เคยยห้าวหาญด้วยเลือดนิยมและปรัชญาเมธีจนเป็นที่กล่าวขวัญในวงการหนังสือพิมพ์ต่างประเทศกำกับหนังเรื่องนี้ ไม่เด่นได้เท่าที่ควรจะเป็น เขาเริ่มงานจากพล็อตที่สั้นและมีขอบเขตจำกัดเกินไป ความหมายและจุดประสงค์ของเนื้อหาอาจยิ่งใหญ่ในสายตาของมิเชลฯ แต่สำหรับผู้ชมส่วนมากที่ไม่ได้ก้าวเข้ามาในระดับเดียวกับเขา เห็นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง อารมณ์ (Emotion) และความสะเทือนใจของเขากลายเป็นการเฉื่อยที่ไม่อาจขจัดความง่วงเหงาหาวนอนได้สำเร็จ เสน่ห์ของมิเชลยังมีไม่มากเท่าเฟเดริโก เฟลลินี่ หรือแม้แต่ ไมเคิล คาโคยันนีส


คืนพิศวาส หรือ “La Notte” กลายเป็นอาภรณ์อิตาลีที่ขาดสีสรรพ์และคุณสมบัติอย่างที่อาภรณ์ผืนอื่นเคยทำสำเร็จ จริงอยู่ที่เขาฉลาดเลือกดาราอิตาลีมือดีอย่าง มาร์เชลโล มาสตรอยญานี่ มาเป็นตัวเอกคู่ กับจัง มอนโรและมี ยิออร์ยิโอ กาสลินี่ ผู้ให้เพลงประกอบมาร่วมงาน แต่นั่นก็ไม่สามารถช่วยอะไรมากนัก ในเมื่อมิเชลฯ ขาดความคมในจินตนาการและปล่อยให้ ความสงบกับการแสดงออกของอารมณ์ผูกพันในกันมากจนชวนเหน็ดหน่าย


มาร์เชลโล มาสตรอยญานีที่รักของผม ก็พลอยอ่อนเปลี้ยไปด้วยกับมิเชล ทั้งๆ ที่บทประเภทนี้ถูกกับคุณสมบัติของเขามากมาย การขาดความเชื่อมั่นในตัวผู้กำกับอาจเป็นส่วนหนึ่งที่สะท้อนผลไปถึงการแสดง จากการแสดงภาพยนตร์สองเรื่องคือ “La Dolce Vita” และ “8 ½” กับเฟเดริโก เฟลลินี่ ทำให้มาร์เชลโลได้รับการยกย่องในวงการนักวิจารณ์ภาพยนตร์ต่างประเทศทั่วไปว่า เขาช่างเป็นคนประเภท Faithless, Loveless, Rudderless, Spiritually Anesthetized & Immobilized ได้อย่างถึงเลือดถึงเนื้อ แม้เขาจะไม่มีแววแบบนั้นในทุกส่วนสัด แต่เขาก็เป็นดาราชายอิตาเลียนคนเดียวซึ่งถูกกล่าวขวัญมากเป็นประวัติการณ์


แต่สำหรับในบ้านเรา 8 ½ ภาพยนตร์เรื่องเยี่ยมชิ้นโบว์แดงของ มาร์เชลโล มาสตรอยญานี่ กลับซบเซา ไม่ได้รับความสนใจเท่าที่ควร หลาย ๆ คนรวบรัดว่า รสนิยมของเรายังต่ำเกินไป แต่สำหรับผมคิดว่านักดูภาพยนตร์บ้านเราส่วนใหญ่ก็เหมือนกับทุกชาติ ยังชอบความสนุกสนาน ความโลดโผนดุเดือดแบบไม่เปลืองสติปัญญาประเภทตลาดมากกว่าจะติดตามงานสร้างที่มีคุณค่าทางศิลปจริงๆ

จึงไม่น่าประหลาดใจกับกอบกำของศิลปพาณิชย์ประเภทนั้น และเคราะห์กรรมครั้งแล้วครั้งเล่าของศิลปินที่สร้างสรรค์งานศิลปบริสุทธิ์ และถูกนักค้าขายเศษศิลปโจมตีอวดอ้างงานของตนว่าเต็มไปด้วยเนื้อหาคุณค่า เป็นตัวแทนของชาติโดยไม่ใส่ใจว่า ศิลปเพื่อศิลป มีความหมายประการใด


จัง มอนโรไม่เหมาะเลยกับบทแบบนี้ เพราะงานแสดงส่วนใหญ่ของเธอยึดแนวของหญิงที่เจ้าอารมณ์ เร่าร้อนและไม่อิ่มในกาม เมื่อเป็นเลเดียของโจวันนี่ ที่บอบช้ำในความเย็นชาของสามี เงียบสงบเคร่งเครียดด้วยความนึกคิดแบบนั้น น่าเสียดายแทน จัง มอนโร ที่ถูกบุคลิกของตนเองเฉือดเฉือนจนขาดความเด่นเช่นที่เคยเป็น



เวลาฉายของ ‘คืนพิศวาส’ มีเพียงหนึ่งสัปดาห์ อาจน้อยเหลือเกินสำหรับใครที่ต้องการจะเห็น ความเหน็ดหน่ายและความไม่รู้จักใจของตนเองในชีวิตสมรส แต่อาจมากเกินไปสำหรับคนที่คร้านจะเห็นอารมณ์เบือนแบบนั้นซึ่งมีอยู่กลาดเกลื่อนในห้องคิดคำนึง

No comments: