10/30/09

ปลุกผีคอมมิวนิสต์แห่งบ้านนาบัว- กระทบไหล่ อภิชาติพงศ์ วีระเศรษฐกุล ที่ลิเวอร์พูล

ปลุกผีคอมมิวนิสต์แห่งบ้านนาบัว
PRIMITIVE INSTALLATION @ FACT LIVERPOOL
รายงานเบื้องลึกเบื้องหลังงานแสดงศิลปะชุดล่าสุดของ อภิชาติพงศ์ วีระเศรษฐกุล

(ภาพประกอบจาก kickthemachine.com)

โดย . . . ‘กัลปพฤกษ์’ kalapapruek@hotmail.com

(ภาพ อภิชาติพงศ์ วีระเศรษฐกุล @ FACT Liverpool
บริเวณหน้าร้านหนังสือและ DVD ที่เต็มไปด้วยผลงานของเขา)


ทันทีที่ทราบข่าวว่างานแสดงศิลปะชุด Primitive ของคุณ อภิชาติพงศ์ วีระเศรษฐกุล จะมาเปิดการแสดงที่เมืองลิเวอร์พูล ประเทศอังกฤษ ระหว่างวันที่ ๒๔ กันยายน – ๒๙ พฤศจิกายน ศกนี้ ผู้เขียนก็รีบจับจองตั๋วรถไฟเตรียมตัวเดินทางไปร่วมชมการแสดงในทันที โดยได้เลือกวันที่คุณอภิชาติพงศ์จะเดินทางมาบรรยาย masterclass เล่าถึงที่มาที่ไปรวมทั้งแรงบันดาลใจในการสร้างสรรค์ผลงานนั่นคือวันที่ ๒๔ กันยายน ซึ่งเป็นวันที่เปิดให้สาธารณชนได้เข้าชมงานเป็นวันแรกนั่นเอง และด้วยความที่ผู้เขียนเองเคยมีโอกาสได้ไปเยี่ยมเยือนเมืองลิเวอร์พูลมาก่อนหน้านี้แล้วเมื่อครั้งเดินทางมาประเทศอังกฤษครั้งแรกตั้งแต่ปี ค.ศ. ๒๐๐๒ โน่น การเดินทางกลับไปอีกครั้งในปีนี้จึงไม่ต้องวางแผนท่องเที่ยวเตร็ดเตร่เดินชมบ้านชมเมืองอะไรนักเพราะได้พบได้เห็นไปพอควรแล้ว เหลือก็แต่ต้องปรับหูให้คุ้นชินกับสำเนียง Scouse ของชาว ‘เหลิฟเว่อร์พู้ล’ ที่ทั้งหนักและเหน่อชนิดสามารถทลายความมั่นใจทักษะในการฟังของบรรดา ‘เซียน’ ภาษาอังกฤษทั้งหลายได้อย่างราบคาบเลยทีเดียว!

เมื่อถึงวันเดินทางผู้เขียนก็ได้กะประมาณเวลาเอาไว้ให้ถึงเมือง ‘เหลิฟเว่อร์พู้ล’ แห่งนี้ก่อนเริ่ม masterclass ประมาณ ๒ ชั่วโมงเศษ ๆ เมื่อเก็บข้าวของเข้าที่พักเรียบร้อยแล้ว ก็จัดการกางแผนที่ออกเดินทางตามหา FACT Liverpool หรือ Foundation for Art and Creative Technology แห่งเมือง ‘เหลิฟเว่อร์พู้ล’ ซึ่งเป็นสถานที่จัดงานอย่างไม่รอช้า ลัดเลาะเสาะหาอยู่ประมาณ ๑๕ นาทีผู้เขียนก็มาถึงสถานที่ จึงได้เห็นกับตาตัวเองว่ามันเป็นอาคารชุมนุมกิจกรรมทางศิลปะซึ่งมีทั้ง gallery และโรงภาพยนตร์ขนาดย่อมอีกสองโรงที่ใหญ่โตโอ่อ่าพอใช้ ยิ่งเมื่อได้เข้าไปดูข้างในก็เห็นผู้คนมากหน้าหลายตามาร่วมชมงาน ณ สถานที่แห่งนี้กันอย่างอุ่นหนาฝาคั่ง โดยในส่วนของการแสดงผลงานชุด Primitive ของคุณอภิชาติพงศ์นั้นจะอยู่ใน gallery ชั้นหนึ่งและสองของตัวอาคาร แต่สำหรับกิจกรรมการ masterclass ก็จะย้ายไปจัดที่โรงภาพยนตร์บริเวณชั้นสามแทน

(ภาพอาคาร FACT Liverpool ศูนย์แสดงงานศิลปะร่วมสมัยอันโอ่อ่าน่าเยี่ยมชม)
จริง ๆ แล้วงานแสดงชุด Primitive นี้ได้เปิดแสดงรอบปฐมทัศน์โลกไปก่อนแล้วที่ Haus der Kunst ณ เมืองมิวนิค ประเทศเยอรมนี ตั้งแต่วันที่ ๒๐ กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นสถาบันที่สนับสนุนการสร้างงานชิ้นนี้ร่วมกันกับ FACT Liverpool และ Animate Project แห่งกรุงลอนดอน การเดินทางมาเปิดการแสดงที่เมือง ‘เหลิฟเว่อร์พู้ล’ ในโอกาสนี้จึงนับเป็นรอบปฐมฤกษ์ของสหราชอาณาจักรเลยทีเดียว โดยต่อจากนี้คุณอภิชาติพงศ์ก็จะนำงานชุดเดียวกันไปจัดแสดง ณ Musee d’Art moderne de la Ville de Paris ณ กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศสอีกด้วย

เอาหละเมื่อมาถึงสถานที่และได้หยิบสูจิบัตรงานมาศึกษาดูรายละเอียดกันคร่าว ๆ แล้วว่าอะไรอยู่ตรงไหนบ้าง ก็ขอเดินชมงานไปตามลำดับที่ผู้จัดเขา set ไว้ก็แล้วกันนั่นคือเริ่มต้นที่ Gallery1 บริเวณชั้นล่างก่อน แต่ยังไม่ทันที่จะได้เดินเข้าไปก็ต้องมาจ๊ะเอ๋กับจอโทรทัศน์ขนาดใหญ่ซึ่งกำลังฉาย music video เพลง ‘ฉันยังคงหายใจ’ หรือ ‘I’m Still Breathing’ จากอัลบัมชุด ‘ทิงนองนอย’ ของวง โมเดิร์นด็อก ฝีมือการกำกับโดยคุณอภิชาติพงศ์เองตั้งดักวางอยู่ตรงหน้า gallery และเมื่อดนตรีเริ่ม intro เราก็จะเห็นเด็กหนุ่มชาวบ้านจำนวนยี่สิบกว่านายต่างวิ่งกรูกันไปบนถนนดินแดงในท้องที่ต่างจังหวัดแห่งหนึ่ง ชวนให้ได้สงสัยกันเหลือเกินว่าพวกเขาจะรีบไปไสกันเบิ๊ดละนออ้ายเอ้ย! แต่วิ่งไปวิ่งไปก็ไม่เห็นว่าจะถึงจุดหมายปลายทางสักที จนหลายคนเริ่มมีอาการหมดแรงล้มลงไปหอบแฮ่ก ๆ นอนกองตับแลบอยู่ตรงทุ่งหญ้าข้างทาง ปล่อยให้เสียงดนตรีกระหึ่มดังด้วยจังหวะจะโคนที่รุกเร้ามากขึ้นเรื่อย ๆ ข้างฝ่ายชายหนุ่มที่ยังมีแรงวิ่งต่อนั้น เมื่อเห็นรถกระบะเปิดท้ายคันหนึ่งกำลังแล่นอยู่เบื้องหน้าพวกเขาก็พากันกระโจนขึ้นท้าย ‘ให้พวกข่อยห้อยไปด้วย!’ กันเป็นการใหญ่ จากนั้นก็ถอดเสื้อวาดลวดลายลีลาเต้นแร้งเต้นกาไปตามเสียงดนตรีที่ยิ่งทวีความคึกคักกันอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย แสดงพละกำลังของชายหนุ่มวัยฉกรรจ์ชนิด hormone testosterone ทะลักพล่านท่วมล้นจนเต็มคันรถเลยทีเดียว! อืม...ก็นับว่าเป็น music video เชียร์แขกที่เรียกร้องความสนใจได้เป็นอย่างดี เพราะไม่ว่าใคร ๆ ที่แวะผ่านมาทางนี้ต่างก็ต้องหยุดดูว่าผู้บ่าวเหล่านี้เขาครึกครื้นเฮฮาเป็นบ้าเป็นหลังกันด้วยเรื่องอะไร?

หลังเปิดประเดิมกันไปอย่างคึกคักด้วย music video เพลงแรกแล้ว ก็ถึงเวลาที่จะได้เข้าไปชมผลงานใน Gallery หมายเลข ๑ กันสักที ซึ่งในส่วนของ gallery นี้ อภิชาติพงศ์ก็ได้จัดแสดงผลงานต่าง ๆ ในความมืด โดยจากพื้นที่ของ gallery ที่ค่อนข้างกว้างขวางนั้นก็มีการแบ่งผนังห้องทั้งสี่ด้านสำหรับฉาย video installation รวมทั้งสิ้น ๕ ชิ้น โดยในส่วนกลาง gallery นอกจากจะใช้เป็นที่วางเก้าอี้พับสำหรับให้ผู้ชมได้นั่งชม video ในแต่ละจอแล้ว ก็ยังมีโครงโลหะสำหรับติดตั้งลำโพงตั้งวางอยู่ และพื้นที่ว่างบริเวณกลางโครงโลหะนั้นก็มีการใช้ดวงไฟสีแดงสาดแสงส่องลงมาเปิดโอกาสให้ผู้ชมได้ลองเดินเข้าไปสัมผัสกับสภาวะ ‘infra-red’ หรือ การตกอยู่ภายใต้โลกสีแดงด้วยตัวเองกันอีกด้วย แต่ก่อนจะไปเล่นแปลงกายเป็นวานรสุครีพกายโกเมน ก็ขอเดินชม video installation ในแต่ละจอกันก่อนว่ามีอะไรให้ดูกันบ้าง


สำหรับจอใหญ่สุดบนผนังด้านซ้ายของทางเข้านั้นก็เป็น video ที่ชื่อ ‘Nabua’ ซึ่งก็จะแสดงภาพสถานที่ต่าง ๆ ของหมู่บ้านนาบัว อำเภอเรณูนคร จังหวัดนครพนม ในยามค่ำคืนที่ตกเป็นเป้าของสายฟ้าฟาดอสุนีบาตที่ทะลุกราดมาถึงพื้นปฐพีก่อให้เกิดประกายไฟพร้อมกลุ่มควันกันแบบไม่วายเว้น แต่ถึงแม้จะถูกรบกวนด้วยเสียงปะทุเปรี้ยงของประจุไฟฟ้ากันอย่างไร ชาวบ้านนาบัวทั้งหลายก็ดูจะไม่ได้เดือดร้อนอะไรนัก พวกเขากลับแต่งเนื้อแต่งตัวออกมานั่งดูชมประกายไฟกันอย่างสุขใจ ไม่เห็นจะมีใครหวั่นกลัวว่ามันจะฟาดลงมาบนกะลาหัวเลยสักนิด จากนั้น video ก็จะตัดภาพไปให้เห็นปรากฏการณ์เดียวกันที่เกิดขึ้น ณ จุดต่าง ๆ จนเกือบจะทั่วหมู่บ้าน


หมู่บ้านสายฟ้าฟาด ใน ‘Nabua’
(ภาพประกอบจาก kickthemachine.com)

ส่วนจอถัดมาที่อยู่ฝั่งตรงข้ามกับทางเข้าก็จะเป็น video เงียบ ชื่อ ‘An Evening Shoot’ แสดงภาพนายทหารพราน ๓-๔ นายกำลังฝึกซ้อมยิงปืนจากภายในบ้านไม้หลังหนึ่ง จากนั้นจึงตัดภาพไปยังชายหนุ่มซึ่งกำลังเดินไม่รู้ไม่ชี้อิโหน่อิเหน่อยู่ตามลำพังกลางทุ่ง ก่อนจะสะดุดล้มลงไปในทันใดราวกับถูกทำร้ายด้วยคมกระสุนปืน และถึงแม้ว่าจะภาพในจอนี้จะมิได้มีเสียงประกอบอะไรใด ๆ แต่เสียงฟ้าฟาดจากในจอ Nabua ซึ่งอยู่ใกล้ ๆ ก็ดูจะสร้างเสียง effect ให้กับการฝึกซ้อมยิงปืนปริศนา ณ เวลาสายัณห์ในจอ ‘An Evening Shoot’ นี้ได้อย่างเข้าทีเลยทีเดียว


กลับหลังหันมาดูอีกจอฝั่งตรงข้ามกันบ้าง สำหรับจอนี้ก็เป็น video สารคดีเงียบชื่อ ‘Making of the Spaceship’ ถ่ายทอดเบื้องหลังการสร้างยานอวกาศรูปทรงรีหน้าตาพิลึกร่วมกับชาวบ้านนาบัว เริ่มกันตั้งแต่การช่วยกันออกแบบยานอวกาศลักษณะต่าง ๆ ก่อนจะมาลงเอยกันที่รูปทรง ellipsoid จากนั้นจึงเริ่มขึ้นโครงโลหะ ปะปิดกันด้วยแผ่นไม้ แล้วใช้กระดาษทรายขัดผิวให้เรียบมันเป็นอันเสร็จสมบูรณ์ โดยระหว่างขั้นตอนต่าง ๆ ของการสร้างยานลำนี้ อภิชาติพงศ์ก็ได้ถ่ายทอดกิจกรรมสัพเพเหระอื่น ๆ ของเหล่าวัยรุ่นแห่งบ้านนาบัวที่มาช่วยกันสร้างยานสลับกันไปอย่างไม่เร่งร้อนอีกด้วย


เสร็จจากการสร้างยานก็หันกลับไปดูอีกจอของฝั่งตรงข้ามที่ชื่อ ‘A Dedicated Machine’ คราวนี้เราก็จะได้เห็นกันด้วยตาว่ายานอวกาศที่เหล่าชาวบ้านนาบัวช่วยกันสร้างขึ้นมานั้นมันมิได้เป็นแค่โครงเหล็กหุ้มไม้ที่ทำไว้เป็น prop เพื่อความกิ๊บเก๋เท่านั้น หากมันสามารถดิ่งลอยขึ้นกลางอากาศได้จริง ๆ แม้ว่าจะต้องทิ้งตัวกลับลงมาอยู่ตำแหน่งเดิมภายในเวลาไม่ถึงนาที ขึ้น ๆ ลง ๆ อยู่อย่างนี้ท่ามกลางฉากหลังของทุ่งป่าในเวลาพลบค่ำ แต่เมื่อดูไป ๆ ยานอวกาศลำนี้ก็ไม่เห็นมีทีท่าจะพุ่งทะยานมุ่งหน้าไปทิศไหนสักกะที เลยต้องปล่อยให้มันเล่นเอาเถิดเจ้าล่อกับแรงโน้มถ่วงอยู่อย่างนี้ไปตามลำพังก็แล้วกัน


และแล้วก็มาถึงจอสุดท้ายของ Gallery 1 นั่นคือจอที่ตั้งชื่อไว้ว่า ‘Primitive’ จอนี้ดูจะผิดแผกไปจากใครเพื่อนเนื่องจากมันประกอบไปด้วย video สองจอต่อกันตามแนวตั้ง โดยแต่ละส่วนก็จะถ่ายทอดเนื้อหาที่ต่างกันไปไม่ได้มีอะไรสอดคล้องเชื่อมโยงกันโดยตรง สำหรับภาพที่ปรากฏอยู่ในทั้งสองจอของ video ชุด ‘Primitive’ นี้ส่วนใหญ่แล้วก็จะเป็นการติดตามการใช้ชีวิตของบรรดาเด็กหนุ่มแห่งบ้านนาบัวทั้งในเวลากลางวันและกลางคืน ซึ่งกิจกรรมต่าง ๆ ของพวกเขาก็ประกอบไปด้วยการสวมใส่ชุดทหารแล้วเล่นรุมถอดกางเกงกันท่ามกลางพวยควันกลางทุ่งหญ้าด้วยอารมณ์คึกคะนอง การขับรถ motorcycle ไปชมวิวกันที่ประตูกักน้ำ พอตกกลางคืนพวกเขาก็ใช้ยานอวกาศที่ช่วยกันสร้างมาอาศัยเป็นที่เรียงรายหลับนอนโดยมีการติดไฟสีแดงประดับไว้ไม่รู้ว่าเพราะต้องการไล่ตะขาบยุงริ้นไรหรือด้วยเหตุผลอื่น
แต่ shot ติดตาที่ไม่สามารถจะลืมได้เลยก็คือ ภาพของปิศาจหน้าผีในชุดห่มขาวที่กำลังยืนหันหน้าอำลาดวงสุริยายามสนธยาอยู่อย่างสงบนิ่ง ครู่หนึ่งผีตนนั้นก็กลับหลังหันเดินตัดทุ่งไปตามแนวชายป่า แต่ไม่ทราบว่าไปสะดุดกระบอกตะไลหรือไฟพะเนียงอะไรเข้าจึงเกิดเป็นประกายไฟลุกขึ้นมาอย่างฉับพลัน ผ้าขาวที่ห่มร่างปริศนานั้นจึงลุกขึ้นเป็นเปลวเพลิงในขณะที่เจ้าของร่างยังคงเดินต่อไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น! พักหนึ่งเมื่อไฟลามไหม้ผืนผ้าจนจะกลายเป็นผืนถ่านไปหมดแล้ว ร่างนั้นจึงได้สลายกลายเป็นอากาศธาตุไปราวกับไม่เคยมีตัวตนมาก่อน! เห็น shot นี้แล้วก็ชวนให้ต้องขนลุกซู่ ด้วยไม่รู้ว่าคุณอภิชาติพงศ์ ไปร่ายมนต์อัญเชิญภูตผีมาจากป่าช้าวัดไหนจึงสามารถรับบทเป็นตัวเองใน video จอนี้ได้อย่างสมจริงยิ่งนัก


(การแบ่งจอบนและจอล่าง ใน ‘Primitive’)

และระหว่างที่ video กำลังวนแสดงภาพต่าง ๆ เหล่านี้ไปเรื่อย ๆ นั้น ก็จะมีเสียงพากษ์เป็นภาษาอีสานขึ้นมาเป็นระยะ พูดถึงเรื่องราวต่าง ๆ สะเปะสะปะกันไปฟังเข้าใจบ้างไม่เข้าใจบ้าง เท่าที่พอจับได้ก็จะมีการว่าถึงการเดินทางข้ามเวลาไปทั้งในโลกอดีตและอนาคต การพยากรณ์สภาพของยานอวกาศลำนี้ว่าต่อไปคงไม่พ้นมีเถาวัลย์และตะไคร่ปกคลุมจนทั่ว การทำ passport ปลอม การส่งสินค้ายังแดนไกล เจ้าหญิงในความฝันที่ตัวดำดั่งผิวควาย และเรื่องราวอื่น ๆ อีกมากมายที่รวม ๆ แล้วคงไม่ได้ตั้งใจจะให้ผูกโยงอะไรมากนัก หมดจากจอ ‘Primitive’ นี้แล้วก็เป็นอันเสร็จสิ้นการแสดงใน Gallery 1 แต่ก่อนจะผละออกไปผู้เขียนไม่ลืมลองไปยืนทำตัวแดงอยู่ ณ ตำแหน่งที่เขาส่องไฟไว้สักหนึ่งครู่ ซึ่งก็รู้สึกเหมือนตัวเองได้เข้าไปอยู่ในตู้ Incubator เร่งเวลาสำหรับฟักไข่อย่างไรอย่างนั้น แต่เมื่อเหลียวดูนาฬิกาแล้วเหลือเวลาก่อนจะเริ่ม masterclass อีกเพียง ๓๐ นาที ผู้เขียนจึงต้องรี่ออกจาก Gallery 1 เพื่อไปดูอะไร ๆ ใน Gallery 2 ได้ทัน

ขึ้นบันไดตรงมาแล้วหันหน้าไปทางด้านซ้ายก็จะเห็นทางเข้า Gallery 2 ซึ่งดูจะมีขนาดเล็กกว่า Gallery 1 อยู่เกือบครึ่ง ใน Gallery 2 นี้ก็จะมีการจัดแสดงงานกันในความมืดเช่นเดียวกัน โดยในภายในโถงใหญ่ของ gallery นั้นก็จะเป็นการฉายผลงานอันถือเป็น hi-light ของการแสดงนั่นคือภาพยนตร์สั้นเรื่อง ‘จดหมายถึงลุงบุญมี’ หรือ ‘A Letter to Uncle Boonmee’ ความยาว ๑๗ นาทีที่โดดเด่นจนสามารถคว้ารางวัล Grand Priize จากเทศกาลภาพยนตร์สั้นนานาชาติแห่งเมือง Oberhausen มาได้หมาด ๆ ว่าแล้วก็ขอดูให้ฉ่ำตาหน่อยเถิดว่ามันจะวิลิศมาหราสมคำร่ำลือได้ขนาดไหน เปิดฉากขึ้นมาสิ่งแรกที่ปรากฏก็คือภาพจากมุมมองภายในของหน้าต่างบานเกล็ดของบ้านไม้ในชนบทหลังหนึ่ง จากนั้นกล้องก็ค่อย ๆ เคลื่อนไปสำรวจสิ่งของต่าง ๆ ที่อยู่ภายในบ้านโดยเฉพาะภาพถ่ายของบรรพบุรุษ ใบประกาศเกียรติคุณ ปฏิทิน โปสเตอร์ดารา และอื่น ๆ นานาอีกสารพัดด้วยจังหวะจะโคนอันแช่มช้อยลอยละล่องอย่างเสรีไปตามส่วนต่าง ๆ ของบ้านที่ไร้ร้างผู้อยู่อาศัย โดยในระหว่างการสำรวจนี้ก็จะมีการอ่านจดหมายด้วยสำเนียงเสียงอีสานของชายผู้ไม่ปรากฏโฉมหน้าคลอประกอบไปด้วย ถ้อยความในจดหมายเขียนถึงคุณลุงที่ชื่อ ‘บุญมี’ ด้วยเนื้อหาทำนองว่า “ผมมาอยู่ที่นี่ได้สักระยะหนึ่งแล้ว ผมอยากจะเห็นชีวิตของลุงเป็นหนัง ผมจึงเสนอโครงการหนังเกี่ยวกับการระลึกชาติ แต่บ้านในแถบนาบัวนี้ไม่เหมือนกับบ้านที่ผมเขียนไว้ในบทหนังเลย บ้านของลุงเป็นอย่างไรกันนะ? มีวิวสวย ๆ แบบนี้หรือเปล่า? ไม่แน่หรอกนะบางส่วนของบ้านเหล่านี้อาจจะคล้ายกับบ้านของลุงก็ได้“ เมื่อชายคนแรกบรรยายเนื้อความในจดหมายจบลง ภาพการเลื่อนไหลไปสำรวจส่วนต่าง ๆ ของบ้านก็ยังดำเนินต่อไปแต่ในคราวนี้จะมีเสียงชายอีกคนหนึ่งมาอ่านข้อความในจดหมายนั้นซ้ำอีกครั้งด้วยสำเนียงอีสานเหมือนกันแต่ด้วยเนื้อเสียงที่ต่างออกไป เมื่อทวนเนื้อหาจนจบแล้วเราจึงได้เห็นพลทหารหน้าเหลี่ยมนายหนึ่งกำลังนั่งทานอะไรสักกะอย่างอยู่บนเรือนก่อนจะเขวี้ยงเศษลงไปให้สุนัขใต้เรือนได้กินต่อ หนังตัดภาพมาที่ภายในตัวบ้านอีกครั้งโดยคราวนี้เราจะได้พบเห็นสถานการณ์อันน่าประหลาดใจชวนให้ต้องสงสัยเมื่อลิง gorilla ตัวหนึ่งกำลังนอนเอกเขนกอยู่ภายในมุ้งสีชมพู! แต่ดูเหมือนผู้กำกับอภิชาติพงศ์จะไม่ได้ตื่นเต้นอะไรไปกะเราด้วย เขาก็ยังสั่งให้กล้องเคลื่อนที่ต่อไปราวไม่เห็นว่าเป็นสิ่งที่น่าตกใจอะไรนักหนา แล้วแฉลบมาสำรวจเมียงมองบ้านอีกหลังที่นายทหารประมาณ ๓-๕ นายกำลังช่วยกันใช้จอบขุดอะไรบางอย่างอยู่ แต่ยังไม่ทันรู้ว่าพวกเขากำลังเจาะหาหรือปลูกพืชผักชนิดใด กล้องก็ไถลไปสำรวจส่วนอื่น ๆ ของตัวบ้านต่อเสียแล้ว ปล่อยให้พวกเขาเว้าอีสานคุยกันต่อไปในระดับเสียงที่ฟังไม่ได้ศัพท์นัก
แต่เอ๊ะ! แล้วนั่น! ใครอุตริเอาไก่ไปอบฟางในโอ่งน้ำใบใหญ่ เอ๊ย! ไม่ใช่! นั่นมันยานอวกาศแห่งบ้านนาบัวนี่นา! เห็นตั้งหรากลางกลุ่มควันตรงลานหลังบ้านก็นึกว่าอะไร แถมเล่นโผล่ออกมาแบบหน้าตายไม่เปิดโอกาสให้รู้ที่มาที่ไปจึงยิ่งชวนให้หลากใจว่า เออ! หมู่บ้านนี้มีอะไรแปลกดีพิลึกดีเนาะ! มิทันไรเสียงคำรามของเครื่องยนต์รถ motorcycle ก็ดังขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย ก่อนจะต่อด้วยเสียงบรรยายที่แทรกขึ้นมาขณะกล้องกำลังกวาดรูปถ่ายใบหน้าของผู้ที่เคยอยู่อาศัย “ห้องนี้เคยมีทหารมาอาศัยอยู่ พวกเขาฆ่าและทรมานชาวบ้าน จนชาวบ้านทนไม่ไหวต้องหนีเข้าป่า . . .” อืมบรรยากาศชักจะเริ่มวังเวงจนน่ากลัวซะแล้วแฮะ แต่ผู้กำกับอภิชาติพงศ์ก็ไม่ได้สืบสานเรื่องราวอะไรใด ๆ ต่อไป หากนำพาคนดูออกจากบริเวณบ้านไปสำรวจแนวป่าใกล้ ๆ ที่ ๆ เราจะได้เห็นทั้งลิง gorilla ตัวใหญ่ ศาลพระภูมิรกร้าง ฝอยละอองอะไรบางอย่างที่ปลิวละล่องเป็นทางอยู่เหนือยอดไม้ ซึ่งก็อาจเป็นได้ทั้งปุยนุ่น ละอองเกสรดอกไม้ กองทัพยุงหรือฝูงแมงหวี่อพยพ! ก่อนที่ความมืดจะเข้าปกคลุมจนมองไม่เห็นอะไรในที่สุด

อืม! และนั่นก็คือสิ่งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในหนังสั้นเรื่อง ‘จดหมายถึงลุงบุญมี’ ที่เมื่อดูจบแล้วก็อดไม่ได้ที่จะตะลึงพรึงเพริดไปกับลีลาอันแสนจะวิจิตรบรรเจิดของหนัง ซึ่งถึงแม้ว่าโดยเนื้อหาแล้วมันจะไม่ได้นำเสนออะไรออกมาเป็นรูปธรรม แต่ผู้กำกับอภิชาติพงศ์ก็ยังสามารถหยิบจับ ‘วิญญาณ’ แห่งสถานที่เหล่านั้นมาบันทึกลงบนแผ่นฟิล์มได้อย่างทรงพลังจนน่าอัศจรรย์ใจยิ่ง ด้วยทักษะและฝีไม้ลายมือในเชิงการกำกับที่สามารถเทียบชั้นระดับบรมครูอย่าง Michelangelo Antonioni หรือ Wim Wenders ได้แบบไม่น้อยหน้าเลยทีเดียว

หลังอิ่มเอมไปกับหนังสั้นเรื่องนี้แล้ว ก็ได้เวลาลุกขึ้นเหลียวซ้ายแลขวาว่ามีอะไรให้ดูใน Gallery 2 นี้อีกบ้าง และเมื่อหันกลับไปบริเวณใกล้ ๆ ประตูเข้า gallery ก็เห็นมีซอกหลืบเล็ก ๆ อยู่ซอกหนึ่งส่องแสงรำไรชวนให้ได้เข้าไปดูว่ามีอะไรอยู่ไหมหนอ? แต่ยังไม่ทันได้เดินเข้าไปก็ต้องสะดุ้งตกใจกับปิศาจยักษ์ร่างใหญ่ที่ยืนจังก้าน่าเกรงขามอยู่ในความมืด! ก็พุทโธ่ถัง! ใครหนอช่างมือพิเรนทร์ใช้ถ่านดำมาวาดรูปภูติผีเล่นบนผนังในความมืดให้ต้องตกอกตกใจกันแบบนี้! ว่าแล้วก็รีบเดินหนีไปด้วยความหวาดกลัวว่าเงาตะคุ่มที่สูงใหญ่จนท่วมหัวนั้นมันอาจมิได้เป็นเพียงแค่ภาพเขียน! ครั้นเดินลัดเข้าไปในหลืบที่ว่าจนสุดทางก็จะมีห้องเล็ก ๆ รูปสี่เหลี่ยมจุตรัสขนาดประมาณวาเศษ ๆ อยู่อีกห้องหนึ่ง โดยในห้องนี้ก็จะมีจอภาพฉาย music video ประกอบเพลงที่ชื่อ ‘Nabua Song’ ซึ่งก็เป็นเพลงที่ชาวบ้านรายหนึ่งได้แต่งและร้องขึ้นมาเองแบบง่าย ๆ ด้วยเครื่องดนตรีเพียงชิ้นเดียวคือ guitar โปร่ง โดยเนื้อหาของเพลงนั้นก็จะเป็นการรำลึกถึงเหตุการณ์เสียงปืนแตกเมื่อวันที่ ๗ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๐๘ ที่ชาวบ้านนาบัวได้หยิบปืนขึ้นมาต่อสู้ปะทะกับทหารกวาดล้าง communist จากฝ่ายรัฐบาลเป็นครั้งแรก โดยในส่วนของ music video เพลงนี้ก็เป็นอะไรที่ ‘ลุงทุนและสร้างสรรค์’ มาก เพราะตลอดทั้งเพลงเราจะได้เห็นแต่เพียงใบหน้าของทหารหน้าเหลี่ยมรายเดิมจาก ‘จดหมายถึงลุงบุญมี’ กำลังนั่งเหม่อเปิบข้าวเหนียวปิ้ง (ถ้ามองไม่ผิด) อยู่ตามลำพัง! ซึ่งก็นับเป็นอะไรที่แปลกหูแปลกตาดีเหมือนกันเพราะคงไม่มีใครเคยคิดฝันว่าจะได้เห็นผู้กำกับสุดติสท์อย่างอภิชาติพงศ์ วีระเศรษฐกุล มีอุดมการณ์สร้างสรรค์งานในแนว ‘เพื่อชีวิต’ อะไรแบบนี้กะเขาได้ด้วย!

เสร็จจาก music video เพลง ‘Nabua Song’ แล้ว ก็เป็นอันจบกระบวนในส่วนงานแสดง installation ชุด Primitive ทั้งหมดแต่เพียงเท่านี้ แต่ในสูจิบัตรงานก็มีระบุข้อมูลเพิ่มเติมเอาไว้ด้วยว่ายังมีผลงานที่เกี่ยวเนื่องกับโครงการนี้อีกสองชิ้น นั่นคือ ภาพยนตร์สั้นเรื่อง ‘Phantoms of Nabua’ ซึ่งเป็นภาพยนตร์ online ที่ทุกท่านสามารถเข้าไปเยี่ยมชมกันได้ที่ website: http://www.animateprojects.org/films/by_date/2009/phantoms และภาพยนตร์ขนาดยาวเรื่อง ‘Uncle Boonmee, A Man Who Can Recall His Past Lives’ ซึ่งยังไม่ได้ถ่ายทำแต่มีกำหนดออกฉายในช่วงปีหน้า
เมื่อเหลียวดูนาฬิกาอีกครั้งก็ได้เวลา ๑๖.๐๐ น. จึงต้องรีบไปรอคิวเข้าร่วมฟัง masterclass กะเขาก่อนแล้ว ขึ้นบันไดวนมาอีกหนึ่งชั้นก็จะถึงบริเวณหน้าโรงภาพยนตร์ที่ใช้เป็นสถานที่ บรรยาย ซึ่งก็น่ายินดีที่กิจกรรมในครั้งนี้มีผู้สนใจยืนออเข้าร่วมฟังอย่างอุ่นหนาฝาคั่ง แต่ดูเหมือนข้างในจะยังจัดการอะไรไม่เรียบร้อยดี เจ้าหน้าที่พนักงานจึงต้องร้องขานให้ท่านทั้งหลายโปรดอดใจรออีกสักครู่ สักพักประตูก็เริ่มเปิด เห็นคุณอภิชาติพงศ์และผู้ดำเนินรายการนั่งโต๊ะอยู่หน้าเครื่อง computer laptop บริเวณมุมล่างขวาของจอ ผู้เขียนก็หาที่นั่งเหมาะ ๆ บริเวณกลางโรง ในขณะที่คุณอภิชาติพงศ์ก็กำลังจัดเตรียม file ที่จะใช้ประกอบการบรรยายอยู่ เมื่อผู้สนใจเข้ามานั่งกันในโรงภาพยนตร์เป็นที่เรียบร้อยแล้ว การบรรยาย masterclass จึงเริ่มต้นขึ้น

หลังจากแนะนำชื่อเสียงเรียงนามเป็นที่เรียบร้อย คุณอภิชาติพงศ์ก็เริ่มต้นการบรรยายด้วยการฉาย video art เปิดประเดิมเป็นการให้พรแก่ทั้งผู้ชมและคุณอภิชาติพงศ์เอง โดย video ที่เลือกนำมาฉายนั้นก็เป็น video ที่ชื่อ ‘Emerald’ หรือ ‘มรกต’ ซึ่งเคยออกแสดงในประเทศไทยไปแล้ว หลังฉายจบ คุณอภิชาติพงศ์ ก็ได้กล่าวว่าจริง ๆ แล้วเขาตั้งใจจะฉาย video เรื่อง ‘The Anthem’ แต่เนื่องจากแผ่นมีปัญหาจึงไม่สามารถฉายได้ เลยเลือกฉายเรื่อง ‘Emerald’ นี้แทน ซึ่งคุณอภิชาติพงศ์ก็หวังว่าน่าจะเป็นงานที่เปิดโอกาสให้ผู้ชมได้สัมผัสถึงแนวทางในเชิงศิลปะของเขาได้ดีชิ้นหนึ่ง หลังให้พรกันไปด้วยผลงาน video สั้นแล้ว คุณอภิชาติพงศ์ก็ได้ชี้แจงว่าจะแบ่งเนื้อหาของการบรรยายออกเป็น ๒ ส่วนด้วยกัน ส่วนแรกจะเป็นการกล่าวถึงประสบการณ์ในสายงาน Art Installation ของคุณอภิชาติพงศ์เองว่าเคยมีผลงานในลักษณะใดอย่างไรมาก่อนบ้าง และในส่วนครึ่งหลังก็จะเป็นการเล่าถึงประวัติความเป็นมาเป็นไปรวมถึงแรงบันดาลใจในการสร้างสรรค์งานชุด Primitive นี้โดยตรง
สำหรับในส่วนของการบรรยายถึงงาน Art Installation ชุดอื่น ๆ ของคุณอภิชาติพงศ์นั้น เนื้อหาก็ค่อนข้างใกล้เคียงกับที่คุณอภิชาติพงศ์เคยได้รวบรวมไว้ในหนังสือชื่อ สัตว์วิกาล โดยกลุ่ม filmvirus จัดพิมพ์โดยสำนักพิมพ์ openbooks จึงไม่ขอกล่าวซ้ำอีก คุณผู้อ่านที่สนใจสามารถติดตามรายละเอียดได้เองจากในหนังสือเล่มนั้น แต่ส่วนที่สองที่เกี่ยวข้องกับความเป็นมาเป็นไปของงานชุด Primitive นี้ดูจะมีรายละเอียดที่น่าสนใจอยู่หลายประการ จึงขอนำมาบอกเล่าให้ได้รับทราบรับฟังกันในส่วนนี้

การบรรยายในช่วงที่สองนี้คุณอภิชาติพงศ์ได้เล่าถึงจุดกำเนิดของแรงบันดาลใจในการสร้างสรรค์ผลงานชุด Primitive โดยเริ่มต้นจากหนังสือเล่มเล็ก ๆ ที่ชื่อ คนระลึกชาติได้ ที่คุณอภิชาติพงศ์ ได้รับจาก พระศรีปริยัติเวที แห่งวัดป่าแสงอรุณ จังหวัดขอนแก่น เนื้อหาในหนังสือเล่มนี้ได้กล่าวถึงประสบการณ์การระลึกชาติของนายบุญมี ผู้เคยเป็นทั้งนายพราน เป็นเปรต เป็นกระบือและโค ก่อนจะมาเกิดเป็นมนุษย์ในภพชาตินี้ คุณอภิชาติพงศ์ รู้สึกประทับใจในเรื่องราวของนายบุญมีมาก โดยเฉพาะความสามารถในการจดจำอดีตของตัวเองได้ในหลากหลายภพชาติ เขาจึงเริ่มต้นออกเดินทางตามหาลูกหลานของลุงบุญมีในท้องที่ถิ่นอีสานเพื่อสืบหาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับลุงบุญมีให้ได้มากที่สุด โดยในระหว่างการเดินทางนั้น คุณอภิชาติพงศ์ ได้พบกับหญิงสาวจากหมู่บ้านแห่งหนึ่งที่อ้างว่าเธอสามารถระลึกชาติได้ว่าเคยเกิดเป็นลูกชายของครอบครัวต่างหมู่บ้านครอบครัวหนึ่งซึ่งเสียชีวิตตั้งแต่เยาว์วัย โดยสิ่งที่น่าประหลาดใจก็คือหญิงสาวรายนั้นสามารถเล่ารายละเอียดเกี่ยวกับครอบครัวต่างหมู่บ้านนั้นได้อย่างถูกต้องแม่นยำแม้จะไม่เคยเห็นหน้าค่าตากันมาก่อนเลยก็ตาม

หลังจากนั้น คุณอภิชาติพงศ์ ก็ได้เดินทางสำรวจท้องถิ่นอีสานต่อไปเพื่อตามหาร่องรอยของลุงบุญมี กระทั่งเขาได้มาถึงหมู่บ้านเล็ก ๆ แห่งหนึ่ง ในอำเภอเรณูนคร จังหวัดนครพนม นั่นก็คือหมู่บ้านนาบัว ดินแดนแห่งประวัติศาสตร์ความทรงจำครั้งอดีตเพราะมันคือสมรภูมิการต่อสู้ระหว่างชาวบ้านตาดำ ๆ กับทหารปราบปราม communist ที่จบลงด้วยการสังเวยชีวิตในวันเสียงปืนแตกเมื่อวันที่ ๗ สิงหาคม ค.ศ. ๑๙๖๕ คุณอภิชาติได้เล่าถึงข้อมูลจากการสัมภาษณ์ชาวบ้านผู้อยู่ในเหตุการณ์ให้ฟังว่า บ้านนาบัวเป็นหมู่บ้านที่ถูกทางรัฐบาลคาดเป้าว่าเป็นแหล่งกบดานของเหล่า communist และถึงแม้พวกเขาจะไม่รู้ว่า communist คืออะไร แต่ชาวบ้านนาบัวก็กลับถูกกล่าวหาจากรัฐบาลว่าเป็นพรรคพวกเดียวกับกลุ่ม communist อยู่เสมอ พวกเขาถูกจับตามองในทุกฝีก้าว ถูกทหารจากฝ่ายรัฐบาลใช้อำนาจฆ่าและข่มขืนอย่างโหดร้ายทารุณ จนผู้คนในหมู่บ้านนาบัวทนไม่ไหว ต้องหนีตายเข้าป่าไปสมทบกับฝ่าย communist อย่างไม่มีทางเลือก กระทั่งวันที่ ๗ สิงหาคม ค.ศ. ๑๙๖๕ จึงเกิดการปะทะกันอย่างรุนแรงระหว่าง communist ชาวบ้านกับฝ่ายทหารรัฐบาลเป็นครั้งแรก ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตทั้งสองฝ่าย หลังเหตุการณ์เสียงปืนแตกในครั้งนั้น หมู่บ้านนาบัวก็ถูกจับตามองจากรัฐบาลอย่างเข้มงวดมากขึ้น มีการส่งกองกำลังทหารมาควบคุมสถานการณ์เพิ่มเติมอีกหลายนาย สถานการณ์จึงยิ่งทวีความเลวร้ายเป็นผลให้ชาวบ้านหนีตายเข้าป่ากันมากขึ้น
กระทั่งยี่สิบปีผ่านไปเมื่อสงครามเย็นระหว่างสหรัฐอเมริกาและสหภาพโซเวียตคลี่คลาย สภาวะการณ์ความตึงเครียดในหมู่บ้านนาบัวจึงเริ่มทุเลาเบาบาง ชาวบ้านจึงเริ่มทยอยออกจากป่ากลับมาอาศัยในหมู่บ้านกันตามเดิม แต่สำหรับในยุคนี้ พ.ศ. นี้ เหตุการณ์รุนแรงที่เคยเกิดขึ้นดูจะไม่ได้รับความใส่ใจจากคนรุ่นใหม่ของหมู่บ้านนาบัวเท่าไรนัก พวกเขาต่างอยากจะฝังลืมสิ่งที่เคยเกิดขึ้นเพื่อดำเนินชีวิตต่อไป และอดีตที่กำลังจะกลายสภาพเป็นความทรงจำที่ถูกลืมของหมู่บ้านนาบัวนี้เองที่เป็นแรงบันดาลใจสำคัญในการสร้างสรรค์งานชุด Primitive ของอภิชาติพงศ์ วีระเศรษฐกุล


(ภาพคุณอภิชาติพงศ์แสดงภาพถ่ายจุดที่เกิดการยิงกันจนเสียชีวิตครั้งแรกในหมู่บ้านนาบัวท่ามกลางความมืด)

อืม! เมื่อได้ฟังความเป็นมาเป็นไปของแรงบันดาลใจเบื้องหลังการสร้างสรรค์ผลงานชุดนี้แล้ว ผู้เขียนก็เริ่มจะ ’กระจ่าง’ ในอะไร ๆ ขึ้นมาอีกเยอะ ก็แหม! คุณพี่ท่านเล่นถ่ายทอดเหตุการณ์ประวัติศาสตร์ผ่านผลงานกันด้วยความทรงจำและความประทับใจโดยไม่ยอมบอกเล่าอะไรให้ได้เรื่องได้ความ เลยต้องตามมานั่งฟังการบรรยาย masterclass ในครั้งนี้นี่แหละจึงจะรู้ว่า ‘บ้านนาบัว’ ‘คนหนุ่ม’ ‘ชุดทหาร’ ‘ยานอวกาศ’ ‘ผี’ และ ‘สีแดง’ มันเกี่ยวข้องอะไรกันอย่างไร แต่ก็นับเป็นเรื่องที่น่าตกใจอยู่ไม่น้อยเหมือนกันนะที่เหตุการณ์การต่อสู้ครั้งประวัติศาสตร์ที่เคยเกิดขึ้น ณ หมู่บ้านนาบัวแห่งนี้ จะไม่ได้รับการกล่าวขวัญถึงในวงกว้างเท่าไรนักจนจักต้องกลายเป็นตำนานที่ถูกหลงลืมไปกับกาลเวลาได้ง่าย ๆ ต้องขอบคุณคุณอภิชาติพงศ์ที่นอกจากจะกระตุ้นให้เราได้หันมารับรู้และใส่ใจต่อความเป็นไปในประวัติศาสตร์หน้าสำคัญอันนี้แล้ว เขายังมีส่วนในการร่วมบันทึกความรู้สึกต่อเหตุการณ์ผ่านผลงานที่สามารถใช้เป็นหลักฐานฟ้องถึงการมีอยู่ของเหล่าวีรบุรุษนักสู้จากบ้านนาบัวแห่งนี้กันอีกด้วย

คุณอภิชาติพงศ์บรรยายถึงเบื้องลึกเบื้องหลังแรงบันดาลใจต่อผลงานชุด Primitive นี้จนจวนเจียนจะหมดเวลาการ masterclass ที่ยาวนานเกือบ ๒ ชั่วโมง แทบไม่เหลือเวลาให้ผู้ชมได้ซักถามคำถาม และเมื่อการบรรยายสิ้นสุดลง ผู้เขียนก็รีบจัดการเก็บข้าวของเดินลงไปปราศรัยทักทายกับคุณอภิชาติพงศ์ในฐานะคนรู้จักที่เคยเห็นหน้าค่าตามาก่อน ทันทีที่ยกมือไหว้คุณอภิชาติพงศ์ก็ดูจะตกอกตกใจว่าผู้เขียนโผล่มาถึงเมือง ‘เหลิฟเว่อร์พู้ล’ นี้ได้อย่างไร? แต่น่าเสียดายที่หลังจากการ masterclass ที่ FACT Liverpool นี้แล้ว คุณอภิชาติพงศ์จะต้องรีบเดินทางไปบรรยายที่พิพิธภัณฑ์ Tate Liverpool ต่อ ผู้เขียนจึงไม่มีโอกาสได้พูดคุยอะไรกับคุณอภิชาติพงศ์มากนัก กิจกรรมในวันแรกนี้จึงต้องสิ้นสุดลงด้วยการกล่าวอำลาคุณอภิชาติพงศ์ไปโดยปริยาย

สำหรับวันต่อมาเนื่องจากผู้เขียนยังมีเวลาว่างในช่วงเช้าก่อนจะเดินทางกลับกรุงลอนดอนในเวลา ๑๔.๐๐ น. จึงตัดสินใจกลับไปยัง FACT Liverpool อีกครั้งเพื่อชมภาพยนตร์สั้นเรื่อง ‘จดหมายถึงลุงบุญมี’ และผลงานอื่น ๆ อีกสักหนึ่งรอบ เมื่อไปถึงสถานที่ตรงกับเวลาเปิด ๑๐.๐๐ น. พอดี จึงรี่ไปชม ‘จดหมายถึงลุงบุญมี’ ก่อนที่จะต้องรอวน loop แต่ถึงแม้ว่าจะตั้งใจมาดูอย่างสงบในช่วงเช้า ก็ยังไม่วายมีฝรั่งหนึ่งนายมาเป็นเพื่อนร่วมดูกับผู้เขียนอีกจนได้ เมื่อหนังจบผู้เขียนเริ่มเปิดประเด็นปราศรัยทักทายเพื่อสอบถามว่ารู้สึกอย่างไรกับหนังที่เพิ่งดูจบไปบ้าง คุยกันไปคุยกันมาจึงได้รับทราบว่าฝรั่งนายนั้นเป็นคนทำหนังชาวเยอรมันที่สนใจและติดตามผลงานของคุณอภิชาติพงศ์อย่างใกล้ชิดมาตลอด แถมยังนับถือเป็นแรงบันดาลใจสำคัญในการสร้างผลงานของเขาเองอีกด้วย ฝรั่งเยอรมันผู้นี้มีนามกรว่า Mario Pfeifer โดยเขาได้ให้ความเห็นเล็ก ๆ น้อย ๆ เกี่ยวกับ ‘จดหมายถึงลุงบุญมี’ เอาไว้ดังนี้

“มันสวยงามและสร้างแรงบันดาลใจได้เป็นอย่างมาก ผมชอบมิติทางด้านพื้นที่โดยเฉพาะวิธีที่อภิชาติพงศ์นำเสนอออกมา ทั้งในส่วนของการเคลื่อนกล้อง และการแทรก shot นิ่งเป็นระยะ ๆ ผมชอบความว่างเปล่า การที่หนังไม่ต้องอาศัยการแสดงหรือตัวละครเลย สิ่งต่าง ๆ ในหนังถูกสื่อสารด้วยวัตถุจากมุมภายในซึ่งเราไม่สามารถมองเห็นได้จากภายนอก นอกจากนี้ในส่วนของการบรรยายยังมีการใช้วิธีถ่ายทอดสารเดียวกันแต่ต่างน้ำเสียง อภิชาติพงศ์ไม่เพียงแต่จะสนใจเฉพาะตัวสารที่เสนอแต่เขาให้ความสำคัญต่อวิธีในการนำเสนอสารเหล่านั้นออกมาด้วย โดยรวมแล้วจึงเป็นเรื่องน่าทึ่งที่เขาสามารถถ่ายทอดภาพชนบทห่างไกลในรูปแบบของการผลิตภาพยนตร์ศิลปะร่วมสมัยได้อย่างลงตัว”

หลังพูดคุยกับคุณ Mario Pfeifer เสร็จแล้วผู้เขียนก็เดินลงบันไดเพื่อไปยัง Gallery 1 ชั้นล่าง เมื่อหันไปทางร้านกาแฟก็เหลือบไปเห็นคุณอภิชาติพงศ์กำลังร่ำลากับฝรั่งอีกท่านหนึ่งอยู่พอดี ไม่รอช้าผู้เขียนรีบแทรกตัวเข้าไปทักทายกับคุณอภิชาติพงศ์อีกครั้ง โดยคราวนี้ไม่รีรอที่จะขอสัมภาษณ์เพิ่มเติมถึงเรื่องราวเบื้องลึกเบื้องหลังของหมู่บ้านนาบัวรวมถึงการสร้างสรรค์งานในโครงการ Primitive ชุดนี้ด้วย ซึ่งคุณอภิชาติพงศ์ก็กรุณาเปิดโอกาสให้ผู้เขียนได้พูดคุยและซักถามเพิ่มเติมในช่วงรับประทานอาหารเที่ยงก่อนผู้เขียนจะเดินทางกลับ จึงใคร่ขออนุญาตปิดท้ายรายงานการแสดงงานศิลปะชุด Primitive ในครั้งนี้ ด้วยบทสัมภาษณ์จากปากคำเจ้าตัวคุณอภิชาติพงศ์ วีระเศรษฐกุล กันเสียเลย

บทสัมภาษณ์ อภิชาติพงศ์ วีระเศรษฐกุล กับแรงบันดาลใจเบื้องหลังผลงานชุด PRIMITIVE
Café @ FACT Liverpool

‘กัลปพฤกษ์’ : ในหนังเรื่อง ‘จดหมายถึงลุงบุญมี’ จะมีการกล่าวถึงทั้งในส่วนที่คุณอภิชาติพงศ์ กำลังเตรียมข้อมูลเพื่อยื่นเสนอโครงการ และส่วนที่บอกว่าได้ทุนจากอังกฤษแล้ว ในส่วนนี้มีลำดับความเป็นมาอย่างไร คุณอภิชาติพงศ์ ได้ไปสำรวจพื้นที่ก่อนจะได้รับทุน หรือได้รับทุนก่อนแล้วจึงไปสำรวจพื้นที่ ช่วยเล่ารายละเอียดด้านที่มาที่ไปนี้ให้ฟังหน่อย

อภิชาติพงศ์ : จุดเริ่มต้นจริง ๆ ผมสนใจมาตั้งแต่ตอนจะทำหนังเรื่องใหม่เรื่อง ‘ลุงบุญมีผู้ระลึกชาติ’ เมื่อ ๓-๔ ปีมาแล้ว ซึ่งมันได้แรงบันดาลใจมาจากหนังสือชื่อ คนระลึกชาติได้ แต่ก็ไม่ได้เอามาตรง ๆ นะ จะเป็นการดัดแปลงมากกว่า คือเนื้อหามันเกี่ยวข้องกับความทรงจำ ผมสนใจเรื่องความทรงจำอยู่แล้ว ทั้งความทรงจำที่ถูกทำให้หายไป เสียงหรือความคิดที่ถูกทำให้หายไป ซึ่งมันสามารถไปเชื่อมโยงกับการเซ็นเซอร์ของเมืองไทย ไม่เฉพาะภาพยนตร์ แต่ว่าหลาย ๆ อย่าง ซึ่งบางครั้งผมรู้สึกว่าเราพูดหรือทำอะไรบางอย่างไม่ได้ ก็เลยสนใจว่า เนี่ย! คนนี้เขาจำได้เป็นร้อย ๆ ปีตั้งหลายชาติ ก็เลยเขียนเป็นบทหนังยาวขึ้นมา แต่การทำหนังอย่างนี้มันหาทุนยากมาก ต้องใช้เวลา พอดี Simon Field กับ Keith Griffiths ที่เป็น producer ให้ ‘แสงศตวรรษ’ เขามี contact ในแวดวงศิลปะอยู่ อย่าง Keith นี่ก็เคย produce งานให้ Brothers Quay
วันหนึ่ง Simon กับ Keith ก็บอกว่ามีเงินทุนสำหรับงานศิลปะนะแต่ไม่ใช่ภาพยนตร์ ผมก็บอกว่า อืม! สนใจมาก เพราะอยากทำเรื่องความทรงจำกับการถูกทำให้หายไป ตอนนั้นก็เลยเดินทางไปแถวอีสาน เพราะว่าเท่าที่ผ่านมานอกจากเรื่อง ‘ดอกฟ้าในมือมาร’ กับ ‘บ้านผีสิง’ แล้ว ผมไม่ได้ลงพื้นที่จริง ๆ ในภาคอีสานเลย แล้วหนังของผมก็ไม่ได้พูดอีสานด้วย ผมเองก็ไม่ได้พูดอีสาน เพราะไม่ได้เติบโตอย่างนั้น แต่ว่ามันน่าสำรวจในที่ที่เราโตมา ก็เลยเดินทาง แล้วได้ผ่านไปยังหมู่บ้านนาบัว ซึ่งก็รู้อยู่ว่าเป็นหมู่บ้านประวัติศาสตร์ แต่ว่าอยากจะรู้มากกว่านั้น คือลงไปเพื่อได้ยินจากชาวบ้านที่เขาประสบจริง ๆ แล้วผมรู้สึกว่ามันเป็นเรื่องน่าตกใจที่ทางการไม่ได้ขอโทษ และไม่ได้ทำอะไรมากนัก นอกจากช่วงที่พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ เป็นนายกรัฐมนตรี แล้วมีนโยบายแลกเงินแลกที่ดินกับอาวุธเพื่อให้ชาวบ้านออกจากป่า แต่รัฐบาลไม่ได้รับผิดชอบในแง่ของสภาพจิตใจที่พวกเขาทำกับชาวบ้าน หรือความชั่วร้ายที่ทางการและชาวบ้านอาสาสมัครช่วยปราบ communist กระทำด้วยความมือหนัก ทั้งฆ่า ข่มขืน ขโมยวัวควายชาวบ้านไปกิน ซึ่งผมรู้สึกว่านี่คือสิ่งที่ทำให้คนไทยมันด้านชา มันเป็นการถูกกระทำแล้วไม่ได้เรียกร้องอะไร ซึ่งไม่ได้เกิดเฉพาะตอนนั้นและหมู่บ้านนั้น มันเกิดขึ้นทั่วไปจนถึงปัจจุบัน ในแง่ที่เราก็รู้อยู่ว่าคนมองภาพตำรวจทหารชั่วขนาดไหน คนเรามันก็มีทั้งดีทั้งชั่ว แต่ว่าถ้าคุณมีด้านลบกับคนในเครื่องแบบแล้ว มันเพราะอะไร ทำไมมันไม่เกิดการปรับปรุงขึ้นมา จะได้ไม่ต้องมาสร้างภาพกันอีก
นี่คือแรงบันดาลใจอย่างหนึ่งที่อยากรู้จักกับคนพื้นถิ่นที่นี่ และอยากทำงานร่วมกัน แต่ไม่อยากพูดตรง ๆ ในเรื่องการเมืองที่เกิดขึ้น เพราะว่าเด็กพวกนี้ไม่ได้เจอโดยตรง ผมเองก็ไม่ได้เจอโดยตรง แต่ผมสนใจด้านการแต่งตัว เพราะมันเกาหลีมาก สนใจดนตรีที่พวกเขาฟัง เพราะมันมีอะไรที่ผมเชื่อมโยงได้ หนังต่าง ๆ ที่ผมทำนี่มันจะต้องมีอะไรที่เป็นส่วนตัวที่ผมสามารถเชื่อมโยงได้ อย่างผมคงไม่สามารถทำหนังเกี่ยวกับเดือนตุลาฯ ได้เพราะผมไม่มีประสบการณ์โดยตรง

‘กัลปพฤกษ์’ : ด้วยความที่คุณอภิชาติพงศ์ ไม่ต้องการพูดเรื่องการเมืองที่เกิดขึ้นโดยตรง องค์ประกอบทางประวัติศาสตร์เหล่านี้จึงมีบทบาทเป็นเพียงกลิ่นอายที่สอดแทรกไว้ในรายละเอียดต่าง ๆ อย่างเสื้อยืดของเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่มีสัญลักษณ์รูปดาวแดง (สัญลักษณ์ของอุดมการณ์แบบ communist) และรอยสักที่มือของเด็กหนุ่มอีกคนที่เป็นรูปสวัสติกะ (swastika- สัญลักษณ์รูปกากบาทปลายหักของพรรคนาซีเยอรมัน)?
อภิชาติพงศ์ : จริง ๆ เสื้อยืดกับรอยสักพวกนั้นเขามีเองอยู่แล้ว ไม่ได้เป็นความจงใจ แต่มันก็แสดงให้เห็นว่าอุดมการณ์ของ communist แต่ก่อนมันถูกเปลี่ยนแปลงกลายเป็น fashion ที่ไม่ได้มีความหมายเดิมอีกแล้ว ซึ่งมันก็เกิดขึ้นทั่วโลก แต่มันน่าสนใจที่มันเกิดขึ้นที่นาบัวแห่งนี้ ซึ่งปู่หรือพ่อแม่ของบางคนถูกฆ่าตาย

‘กัลปพฤกษ์’ : ขอวกกลับไปที่หนังสือ คนระลึกชาติได้ เพราะเห็นปกแล้วรู้สึกว่าน่าสนใจมาก อยากรู้ว่าเนื้อหาข้างในเป็นอย่างไรบ้าง?
อภิชาติพงศ์ : หนังสือเล่มนี้เป็นพระเขียนเกี่ยวกับเรื่องของคุณลุงบุญมีที่เขามาทำสมาธิที่วัด คุณลุงอยู่หนองบัวลำภู แต่เขามาทำสมาธิที่วัดป่าแสงอรุณที่ขอนแก่นแล้วเล่าให้พระฟัง พระก็เขียนขึ้นมาเพื่อสอนใจคนว่าให้ทำดีอย่าทำชั่วอะไรอย่างนั้น
‘กัลปพฤกษ์’ : อย่างนี้จะมีการเชื่อมโยงในแต่ละภพชาติด้วยหรือเปล่า? เช่นตอนที่เขาเกิดเป็นนายพรานเขาทำอะไรไว้ พอเขาเกิดใหม่เป็นเปรตแล้วได้รับผลอะไร? (ปกหนังสือระบุว่านายบุญมีเคยเกิดเป็น นายพราน-เปรต-กระบือ-เปรต-โค ก่อนจะมาเกิดเป็นมนุษย์)
อภิชาติพงศ์ : ไม่ได้ละเอียดมากขนาดนั้น ไม่ได้บอกเหตุผลมากว่าเพราะอะไร แต่ที่น่าสนใจคือเวลาที่เขาพูดถึงเปรต มันไม่มีภาพเปรตที่หิวโหยตลอดเวลา แต่ว่ามันเป็นเปรตที่อยู่ในโลกของการเสพสุข เสพกามตลอดเวลา แล้วเขาติดในสภาพเปรตจนไม่อยากเกิดใหม่ด้วยซ้ำ นี่คือจุดที่ผมชอบ มันไม่ได้เป็นอะไรที่เราเคยคิดไว้เกี่ยวกับเปรตเลย


‘กัลปพฤกษ์’ : ขอถามเรื่องประวัติศาสตร์ที่ไม่ได้บันทึกเกี่ยวกับบ้านนาบัวบ้าง เนื่องจากคุณอภิชาติพงศ์ ได้ลงไปสอบถามข้อมูลจากฝ่ายชาวบ้านผู้ได้รับผลกระทบโดยตรงจากปากคำเจ้าตัว แต่แน่นอนถ้าเราศึกษาข้อมูลที่เป็นทางการจากฝ่ายรัฐบาลมันย่อมไม่มีการบันทึกถึงเหตุการณ์ที่ทหารฝ่ายปราบ communist ทำร้ายชาวบ้านอย่างที่คุณอภิชาติพงศ์ได้เล่าไว้แต่จะให้ข้อมูลในอีกลักษณะหนึ่งแทน แม้กระทั่งข่าวหนังสือพิมพ์ก็ดูจะรายงานถึงเหตุการณ์วันเสียงปืนแตกในลักษณะเข้าข้างรัฐบาลด้วยซ้ำว่าพวก communist นั่นแหละที่เป็นฝ่ายเริ่มต้นความรุนแรงก่อน เมื่อเจอกรณีข้อมูลขัดแย้งกันแบบนี้ คุณอภิชาติพงศ์จะจัดการอย่างไร?

อภิชาติพงศ์ : มันเป็นไปไม่ได้ที่เราจะเป็นกลาง แต่มันมีหลักฐาน มีคนที่มีชีวิตอยู่ในช่วงเวลานั้นจริง ๆ พูดว่า มีทหารมาตั้งฐานอยู่ที่วัดในหมู่บ้าน แล้วต้องมีการ stamp มือ ต้องมีการดื่มน้ำสาบาน เอาปืนเอาระเบิดมือแช่น้ำแล้วบังคับให้ชาวบ้านดื่มน้ำสาบานว่าไม่ใช่ communist ซึ่งมันจะจริงไม่จริงผมไม่สนใจ แต่ผมสนใจส่วนที่เขาบอกว่าทหารฆ่าแล้วก็ตัดคอพวกเขา ซึ่งตัวชาวบ้านเองก็ตัดคอทหารเหมือนกัน คือผมไม่ได้มองว่าฝ่ายไหนดีฝ่ายไหนไม่ดี แต่ผมมองว่าวิธีการจัดการของรัฐบาลมันรุนแรงเกินไป มันไม่ใช่วิธีการที่จะปฏิบัติกับคน
จากการที่คุยกับชาวบ้าน ถ้ามีการถามว่าคุณเป็น communist หรือเปล่า แล้วคุณตอบว่าใช่คุณก็ถูกฆ่าเลย ถ้าไม่ใช่คุณก็ถูกตี คุณไม่มีทางเลือก คุณก็ต้องออกไปเข้าป่า พวกเขาไม่ได้คิดด้วยซ้ำว่า communist คืออะไร พวกเขาเข้าไปเพื่อหนีตาย แล้วการที่จะมีชีวิตอยู่ได้มันก็ต้องมีการร่วมกลุ่ม พวกเขาเลยต้องเข้าร่วมกับกลุ่ม communist เพราะฉะนั้นรัฐบาลจะมาอ้างไม่ได้ว่ารัฐบาลไม่มีทางเลือกต้องฆ่าคนพวกนี้ มันเป็นวิธีการที่หนักมือไป มันป่าเถื่อน ไม่ว่าสองฝ่ายจะพูดต่างกันอย่างไร แต่ในเมื่อมันมีคนตายขนาดนี้ ถึงคุณจะฆ่าเขาในแง่ที่เขามีอาวุธ และคุณฆ่าเขาเพราะป้องกันตัวเอง ยังไงคุณก็ต้องออกมาขอโทษ ในฐานะที่เขาก็เป็นประชาชนคนหนึ่ง และเขาก็เสียภาษีจ้างคุณให้ปกครองแม้จะมีความคิดต่างกัน นี่ก็คือเหตุผลที่ตั้งชื่องานชุดนี้ว่า Primitive ด้วย เพราะว่ามันล้าหลังเหลือเกินทั้งคนกระทำและผู้ถูกกระทำ และไม่ใช่แค่เหตุการณ์บ้านนาบัวนี้เท่านั้น แม้แต่ในปัจจุบันนี้มันก็ยังเป็นอยู่ และที่สำคัญคือเราลืมกันง่ายเหลือเกิน

‘กัลปพฤกษ์’ : อืม ถ้าเช่นนั้นจริง ๆ แล้วชื่อ Primitive นี่ก็สะท้อนถึงความเป็นไปในบ้านเรานี่เอง นอกจากชื่ออังกฤษแล้วโครงการนี้มีตั้งชื่อไทยเอาไว้ด้วยไหม?

อภิชาติพงศ์ : ไม่มีครับ ใช้ชื่อ Primitive เลย แต่เวลาขอทุนที่ต้องใส่ชื่อไทยก็จะใช้ว่า ‘ดึกดำบรรพ์’

‘กัลปพฤกษ์’ : คุณอภิชาติพงศ์ใช้เวลาคลุกคลีอยู่กับชาวบ้านที่บ้านนาบัวนานแค่ไหน?
อภิชาติพงศ์ : ก็ร่วม ๆ ๖ เดือน ช่วงแรกนี่คือช่วงที่ไปสัมผัสพูดคุยกับชาวบ้าน แต่ช่วงที่ถ่ายทำจริง ๆ จะเป็นช่วง ๒ เดือนสุดท้าย

‘กัลปพฤกษ์’ : มีข้อน่าสังเกตอย่างหนึ่งในงานชุดนี้ ที่ผลงานทั้งหมดไม่ได้เป็นความคิดสร้างสรรค์ของคุณอภิชาติพงศ์เพียงคนเดียว แต่จะมีการร่วมกันกับชาวบ้านนาบัวเปิดโอกาสให้พวกเขาได้แสดงความคิดสร้างสรรค์ด้วย เช่นการช่วยกันออกแบบยานอวกาศ หรือกระทั่งการแต่งและร้องเพลง ‘Nabua Song’ ที่นำมาจัดแสดงด้วย คุณอภิชาติพงศ์มองในจุดนี้อย่างไร?

อภิชาติพงศ์ : จริง ๆ ผมไม่ได้มองเป็นงานสร้างสรรค์อะไรเลยนะ ผมมองว่ามันเป็นเกมที่ผมเล่นกับเด็กบ้านนาบัวมากกว่า มันเหมือนเป็นกิจกรรมที่เราทำร่วมกันแล้วใช้ video เป็นสื่อในการบันทึกเท่านั้นเอง ไม่ถึงกับเป็นผลงานสร้างสรรค์ขนาดอะไรนั้น
‘กัลปพฤกษ์’ : อีกจุดหนึ่งที่น่าสนใจก็คือในหนังและ video art ชุด Primitive นี้จะมีการเล่นกับ special effect ค่อนข้างเยอะมาก แม้ว่าโดยภาพรวมแล้วงานจะยังมีความดิบอย่างเป็นธรรมชาติอยู่ อยากทราบว่าคุณอภิชาติพงศ์มีการ balance ระหว่าง special effect กับความเป็นธรรมชาติอย่างไรให้ออกมาลงตัว?
อภิชาติพงศ์ : ส่วนตัวแล้วผมจะชอบงาน special effect จากหนังเก่า ๆ โดยเฉพาะหนังผีฮ่องกงหรือหนังตระกูล ‘บ้านผีปอบ’ ที่เราจะรู้สึกได้เลยว่ามีทีมงานคอยวาดสายฟ้าผ่าลงบนแผ่นฟิล์มไปทีละเฟรม ผมเลยเน้นให้งานของผมมีความรู้สึกแบบ handmade อย่างนี้อยู่ด้วย และจากใน video จะเห็นชาวบ้านมุงดูการระเบิดกันในระยะใกล้ ซึ่งก็เหมือนกับเป็นการเชิญชวนให้พวกเขามาร่วมดูปรากฏการณ์ที่น่าตื่นเต้นที่มีส่วนผสมของทั้งความสนุกและความรุนแรงอยู่ด้วยกันซึ่งก็ถือเป็น theme หลักของโครงการนี้ ส่วนคนดูก็จะสัมผัสได้ถึงกระบวนการในการทำหนังที่มีทั้งส่วนที่เป็นการแสดงซึ่งเป็นของจริง และส่วนของงาน post-production ซึ่งเป็นส่วนสังเคราะห์

‘กัลปพฤกษ์’ : หลังจากงานศิลปะชุดนี้แล้ว คุณอภิชาติพงศ์ จะมีภาพยนตร์ขนาดยาวเรื่อง ‘ลุงบุญมีผู้ระลึกชาติได้’ หรือ ‘Uncle Boonmee: A Man Who Can Recall His Past Lives’ ด้วย ตอนนี้ขั้นตอนการเตรียมงานไปถึงไหนแล้ว ได้ทุนสร้างครบแล้วหรือยัง จะเริ่มถ่ายทำช่วงไหน และคิดว่าเมื่อไหร่เราจะได้ดูกัน?
อภิชาติพงศ์ : บทหนังอย่างที่บอกว่าผมเขียนเสร็จเรียบร้อยแล้ว ทุนสร้างตอนนี้ได้มาจำนวนหนึ่งซึ่งคิดว่าพอที่จะเริ่มต้นถ่ายทำได้ ก็จะเริ่มถ่ายกันวันที่ ๑๕ ตุลาคม ที่จะถึงนี้ หนังน่าจะตัดเสร็จราว ๆ เดือนมีนาคมปีหน้า แต่กว่าจะได้ฉายก็คงจะเป็นช่วงปลายปี
‘กัลปพฤกษ์’ : หนังเรื่องนี้จะถ่ายทำที่นาบัวด้วยหรือเปล่า? แล้วคุณอภิชาติพงศ์ได้บ้านที่ถูกใจแล้วหรือยัง?
อภิชาติพงศ์ : ผมพยายามหาบ้านที่นาบัวแต่ก็ไม่เจอหลังในฝันเลย แต่ตอนนี้ผมได้ location ที่ถูกใจอยู่ที่จังหวัดเลย ผมเลยต้องสร้างหน้าต่าง กำแพง ระเบียงอะไรเหล่านี้ขึ้นมาใหม่ให้ตรงกับส่วนประกอบของบ้านตามที่ผมชอบจากการเดินทางท่องภาคอีสาน

‘กัลปพฤกษ์’ : แล้วในส่วนของงานชุด Primitive นี้จะมีโอกาสได้จัดแสดงที่ประเทศไทยแบบครบชุดบ้างไหม? เพราะเนื้อหาของมันเป็นอะไรที่ควรจะเผยแพร่ให้คนไทยได้ร่วมรับรู้อยู่เหมือนกัน โดยเฉพาะในส่วนของประวัติศาสตร์ที่กำลังจะถูกลืม
อภิชาติพงศ์ : คงยังไม่ใช่อนาคตอันใกล้นี้ ปัญหาคือการจัดงานแบบนี้มันต้องขอความร่วมมือเยอะมาก จากประสบการณ์ที่มาจัดที่นี่ทำให้รู้ว่าทั้งสถานที่ อุปกรณ์และความช่วยเหลืออะไรต่าง ๆ มันต้องพร้อมจริง ๆ ซึ่งผมห่วงว่าที่เมืองไทยจะไม่ใครยอมเหนื่อยกับเราด้วย
‘กัลปพฤกษ์’ : แต่ถ้ามีผู้สนใจอยากจะร่วมจัดจริง ๆ คุณอภิชาติพงศ์ก็ไม่ขัดข้องที่จะจัดแสดงงานชุดนี้ในประเทศไทย แม้ว่าเนื้อหาบางส่วนจะพาดพิงถึงเรื่องทางการเมืองที่เคยเกิดขึ้น?
อภิชาติพงศ์ : ไม่ครับ ไม่ได้ห่วงเรื่องนั้น ถ้ามีใครอยากให้จัดจริง ๆ ผมก็ยินดี
‘กัลปพฤกษ์’ : แต่ทราบว่าเร็ว ๆ นี้หนังสั้นเรื่อง ‘จดหมายถึงลุงบุญมี’ จะมีฉายในงานเทศกาลภาพยนตร์โลกแห่งกรุงเทพฯ เดือนพฤศจิกายน ปีนี้ด้วย?
อภิชาติพงศ์ : อ๋อ! ใช่ครับ ถ้าสนใจก็ไปดูจากงานนี้ก่อนได้ . . .

หมายเหตุ: งานเทศกาลภาพยนตร์โลกแห่งกรุงเทพฯ หรือ World Film Festival of Bangkok ครั้งที่ ๗ จะจัดขึ้นระหว่างวันที่ ๖-๑๕ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๕๒ ติดตามรายละเอียดการฉายภาพยนตร์เรื่อง ‘จดหมายถึงลุงบุญมี ได้จาก website <http://www.worldfilmbkk.com/>


ขอขอบคุณคุณอภิชาติพงศ์ วีระเศรษฐกุล เป็นอย่างสูงที่เอื้อเฟื้อทั้งเวลาสำหรับการสัมภาษณ์และภาพประกอบ



(บางส่วนของบทความนี้จะตีพิมพ์ในนิตยสาร Esquire ฉบับเดือนพฤศจิกายน)