6/18/09

Let the right one in : “เช็คอินหัวใจ ให้เธอคนเดียว”

Let the right one in : “เช็คอินหัวใจ ให้เธอคนเดียว”

บทความโดย พัชรีพร ชูศรีทอง

ยุโรปมักขึ้นชื่อลือชาในเรื่องของอารยธรรม ที่สั่งสมมาเป็นเวลาช้านาน โดยเฉพาะความเคารพในสิทธิส่วนบุคคล การให้เกียรติเพื่อนมนุษย์ หรือ ไม่เว้นแม้กระทั่ง “แวมไพร์” ซึ่งเป็นสิ่งที่อยู่ในตำนานของยุโรป ถึงจะถูกเรียกขานว่าแวมไพร์ แต่ก็เป็นแวมไพร์แบบผู้ดี นั่นคือ ก่อนที่จะเข้าบ้านของคนอื่น เพื่อจุดประสงด์ดีหรือร้ายก็แล้วแต่ แวมไพร์เหล่านั้นก็จะเคาะประตูบ้านเพื่อขออนุญาตแขกที่พวกเขาไปเยี่ยมเยียนเสมอ และจะถือเป็นเรื่องซีเรียสมากหากเจ้าของบ้านไม่ตอบตกลง โดยเฉพาะ “เอลี่” แวมไพร์เด็กสาว ที่ ยังคงสืบทอดมารยาทการขออนุญาตก่อนเข้าบ้านคนอื่นอันน่าเอาเยี่ยงอย่างมาจากต้นตระกูลของเธอ เธอแคร์เรื่องนี้มาก เพราะประตูบ้าน หรือ อาจจะเรียกประตูห้องมากกว่า ที่เธอใจจดใจจ่อรอเจ้าของบ้านอนุญาตให้ย่างกลายเข้าไปข้างในนั้น คือ บ้านของมนุษย์ธรรมดา ที่มีเลือดเนื้อ มีจิตใจ และความรักให้กับเธอ การที่มนุษย์คนหนึ่งที่ขึ้นชื่อว่าเป็นคนรักของเธอ กล่าวคำว่า “อนุญาต” กลับมีนัยยะแฝงไว้ด้วยการยอมรับในตัวตนของอีกฝ่าย ให้ก้าวข้ามพรมแดนระหว่าง แวมไพร์ กับ มนุษย์ และพร้อมที่จะเรียนรู้ซึ่งกันและกันในฐานะฉันคนรัก นั่นหมายความว่า “เอลี่” ต้องการการยอมรับในฐานะ“ the right one”


“Let the right one in” ถ้าแปลตามรูปศัพท์ น่าจะหมายถึง “อนุญาตให้คนที่เธอพึงใจเข้าไปข้างในด้วยเถิด” แต่ถ้าแปลเป็นชื่อหนังแบบสำนวนหนังไทย น่าจะได้ประมาณว่า “เช็คอินหัวใจ ให้เธอคนเดียว”อาจจะเป็นชื่อที่เสี่ยวแต่เหมาะกับ “Let the right one in” เพราะเป็นหนังรักขนานแท้ ดังนั้นแรงบันดาลใจในการตั้งชื่อล้วนมาจากหนังรักทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นซีรีส์เกาหลี อย่าง “เช็คอินหัวใจ”กับหนังวัยรุ่นไทย ที่เคยโด่งดังในอดีตอย่าง “โลกทั้งใบให้นายคนเดียว”


หนังเรื่องนี้เล่าเรื่องค่อนข้างแรง ตรง และจริง โดยมีส่วนผสมของ ความรุนแรงของวัยรุ่น ที่กลั่นแกล้งเพื่อนในโรงเรียนด้วยรูปแบบความรุนแรงขั้นต่างๆ ไล่ไปตั้งแต่ชนิดเบาที่สุด จนถึงหนักที่สุด คือ ขั้นเอาชีวิต ความรุนแรงอีกด้านคือ การฆาตกรรมเพื่อความอยู่รอดของแวมไพร์ ซึ่งความรุนแรงดังกล่าว ถูกถ่ายทอดโดยตัวละครหลัก นั่นคือ ออสการ์ และ เอลี่ ได้เป็นอย่างดี ดังนั้นออสการ์ กับ เอลี่จึงเสมือนคนๆเดียวกัน ดังบทสนทนาตอนที่ ออสการ์ถามเอลี่ว่า “Who are you” (เธอเป็นใครกันแน่) เอลี่จึงตอบว่า “I’m like you” (ฉันก็เป็นเหมือนเธอนั่นแหละ) ถ้าเปรียบเป็นเหรียญเดียวกัน ทั้งคู่ก็คือเหรียญคนละด้าน ด้านหนึ่งคือด้านที่ขาวสว่าง ต้องเผชิญโลกความเป็นจริง ถูกกระทำด้วยความรุนแรง และไม่อาจตอบโต้ หรือ ล้างแค้นใดๆได้ มิพักยังต้องเก็บกดความรู้สึกนั้นไว้ภายในใจ จนต้องหาทางระบายออกเวลาอยู่คนเดียว อีกด้านหนึ่งคือความดำมืด มีอำนาจและพลังพิเศษบางอย่างเต็มกำมือ และต้องฆ่าเพื่อดำรงชีพ หลังจากนั้น ออสการ์จึงพูดต่อไปว่า “I don’t kill people” (แต่ฉันไม่ได้ฆ่าใครนะ) เอลี่จึงจี้ใจดำด้วยประโยค “But you’d like to, if you could” (แต่เธอลงมือแน่ ถ้าสามารถทำได้) “To get revenge, Right?” (เพื่อที่จะได้แก้แค้น ใช่มั้ย) ออสการ์จนมุม ก็เลยตอบเสียงอ่อยๆ ว่า “Yes” เอลี่ได้ใจ จึงพล่ามต่อว่า “I do it because I have to” (ฉันทำแบบนั้นเพราะความจำเป็น) แถมให้กำลังใจออสการ์ด้วยการปลุกให้เขาฮึดสู้ ด้วยประโยคที่ว่า “ Be me, for a little while” (ลองมาเป็นแบบฉันชั่วคราวดูมั้ย) ด้วยกำลังใจสำคัญของเอลี่ ส่งผลให้ออสการ์เติบโตมาอีกแบบหนึ่ง ที่ทำให้เขากระหยิ่มยิ้มย่อง ลำพองใจ ที่แก้แค้นกลุ่มเพื่อนที่เคยแกล้งเขามาในอดีตได้สำเร็จ แต่ไม่ว่าการเติบโตของออสการ์จะเปลี่ยนแปลงไปแบบใด แต่สิ่งที่รองรับการเปลี่ยนแปลงนั้นคือ ความรัก ความรัก ที่ใครหลายคนเคยบอกว่ามันทำให้ใครบางคนยอมเปลี่ยนแปลงตัวเอง โดยมีคนรักคอยเป็นกำลังใจหรือ เป็นแรงผลักดันนั่นเอง


นอกจากนี้ ลักษณะภายในดังกล่าว ยังถูกถ่ายทอดออกมาทางกายภาพของทั้งคู่อย่างชัดเจน ราวขาวกับดำ สีขาวเปรียบเหมือน ออสการ์(แคลร์ เฮดเดแบรนท์) เด็กหนุ่มวัย 12 ปี ที่กำลังย่างเข้าสู่วัยรุ่น ผิวพรรณเกลี้ยงเกลา สีขาวนวล ผมสีบลอนด์อ่อนๆ ทำให้ใบหน้านั้นเกือบจืดชืด ถ้าไม่มีหน้าตาจิ้มลิ้ม มารองรับ ออสการ์คงเป็นแค่ตัวแสดงหน้าจืดที่ไม่มีจุดเด่นใดๆ แต่มีเสน่ห์อย่างไม่น่าเชื่อ แต่ผิดกับ เอลี่ (ลิน่า ลีแอนเดอร์สัน) แวมไพร์วัย 12 ขวบเช่นกัน แต่เธออายุสิบสองขวบมาหลายสิบปีแล้ว และยังมีดวงตาดำขลับลึกลับเป็นเครื่องประดับบนใบหน้าซีดเซียว ที่มีปอยผมหยักศกสีดำเข้มมาคลอเคลียที่ข้างแก้มทั้งสอง

ถึงแม้ความรักของทั้งคู่จะดูไม่ธรรมดาเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว เพราะเป็นความรักต่างเผ่าพันธุ์ แต่ในความไม่ธรรมดายังมีความไม่ธรรมดากว่าสอดแทรกอยู่ในนั้น นั่นคือ เอลี่ ไม่ใช่ผู้หญิง เธอได้บอกเรื่องนี้กับออสการ์ไป สองสามครั้ง แต่ดูเหมือนหนุ่มน้อยถูกความรักบังตา หรือจะเป็นเพราะรักแท้ จึงทำให้เขามองข้ามประเด็นนี้ไป โบราณว่า “สิบปากว่า ไม่เท่าตาเห็น” เมื่อออสการ์ มีโอกาสได้เห็น (พร้อมกับคนดู) ในฉากที่เอลี่เปลี่ยนเสื้อผ้าว่า เธอไม่ใช่ผู้หญิงที่สมบูรณ์ แต่ก็ไม่ใช่ผู้ชาย ออสการ์ถึงกับอึ้งไปนิดหน่อย จึงเป็นจุดหักเหของเรื่องอีกตอนหนึ่งที่น่าสนใจ และก็เป็นประเด็นที่ร่วมสมัยไม่น้อย ในเรื่องของเพศที่สาม หรือ การข้ามเพศ (ชายแปลงเพศเป็นหญิง หรือ หญิงแปลงเพศเป็นชาย หรือ พัฒนาไปไกลถึงขั้น แวมไพร์แปลงเพศ)


นอกจากประเด็นเรื่องความรักที่ไม่ธรรมดาแล้ว หนังเรื่องนี้ยังมีประเด็นย่อยๆรองลงมา แต่น่าสนใจไม่แพ้กัน นั่นคือ การที่เพื่อนบ้านของออสการ์ ถูกเอลี่ดูดเลือดที่ต้นคอแต่มีคนมาพบเห็นเสียก่อน เอลี่จึงหลบหนีได้ทัน และเหยื่อเพื่อนบ้านคนนั้นก็รอดมาได้ พร้อมทั้งได้เชื้อแวมไพร์มาเป็นของแถม เธอจึงคุ้มคลั่งอย่างไม่มีสาเหตุ สามีไม่รู้จะทำอย่างไร จึงส่งเธอเข้าโรงพยาบาล จนกระทั่งเธอค้นพบว่าเธอกลายเป็นแวมไพร์แล้ว ก็เลยตัดสินใจปลิดชีวิตตัวเอง ด้วยการยอมให้แดดเผาตาย เพราะทนไม่ได้ที่จะต้องอยู่ในสภาพแบบนั้น หรือ ถ้ามองในแง่ดี คือ เธอมีความรับผิดชอบทางศีลธรรมมากพอ จึงยอมเสียสละชีวิตตัวเอง


หรือชายอีกคนหนึ่งที่อยู่ร่วมห้องกับเอลี่ที่จับต้นชนปลายไม่ได้ว่า เขาเป็นพ่อของเธอ หรือ มีสถานะเป็นอย่างอื่นกันแน่ เพราะดูท่าทางชายผู้นี้จะหึงหวงเอลี่ผิดพ่อลูกธรรมดา และปฏิบัติตัวเยี่ยงทาสรับใช้ผู้ซื่อสัตย์ ยอมทำทุกสิ่งทุกอย่าง เพื่อให้ได้เลือดมาสังเวยเอลี่ วันไหนที่หาเลือดไม่ได้เป็นต้องมีปากมีเสียงกับเอลี่ และลงเอยด้วยการที่เอลี่ ออกไปล่าเหยื่อด้วยตัวเอง ด้วยความที่บูชารักเป็นที่ตั้งจนเกินเหตุ จุดจบของชายผู้นี้ จึงไม่สวยงามสักเท่าไหร่ ซึ่งเป็นเครื่องเตือนใจคนที่คลั่งไคล้ หลงใหลรักได้เป็นอย่างดี ถึงตรงนี้แล้วน่าจะสรุปได้ว่า ชายคลั่งรักผู้นี้ เป็นอื่นไปไม่ได้นอกจากทาสรักของเอลี่นั่นเอง

ด้วยความที่เป็นหนังรัก แต่แรง ทำให้ในตอนท้ายของหนังเรื่องนี้ยังคงรักษาระดับความแรงได้ดี เพราะหลังจากที่ออสการ์สามารถแก้แค้นแก๊งเด็กอันธพาลได้แล้ว จึงดูเหมือนว่าหลายสิ่งหลายอย่างจะคลี่คลายไปในทางที่เรียบร้อยดี พร้อมทั้งการลาจากและรอยจูบเปื้อนเลือดของเอลี่ เพราะเธอเกรงว่าไม่อาจร่วมทางกันได้ในชีวิตจริง แต่การณ์กลับเป็นอีกอย่าง เมื่อออสการ์ถูกเอาคืนอย่างสาสม เมื่อแก๊งเด็กซ่านั้นมีหัวหน้าแก๊งคนใหม่ที่อายุมากกว่าจึงเหิมเกริม คิดการใหญ่ หลอกให้ออสการ์ออกมาพบที่สระว่ายน้ำของโรงเรียน และท้าทายออสการ์โดยมีชีวิตของเขาเองเป็นเดิมพัน โดยออสการ์ถูกกดหัวให้แช่อยู่ในน้ำเป็นเวลาสามนาที ถ้ารอดมาได้ถึงจะมีสิทธิต่อรอง แต่ในสถานการณ์หมาหมู่เช่นนั้นออสการ์เป็นรองทั้งขึ้นทั้งล่อง แต่ออสการ์จำใจรับคำท้าอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้เพราะศักดิ์ศรีและความเย่อหยิ่งเล็กๆของเขา ในขณะที่ลุ้นว่าออสการ์จะรอดไม่รอดนั้น อยู่ดีๆ ท่อนแขน ท่อนขา ของคนที่กดหัวออสการ์ ก็ร่วงลงไปในสระทีละท่อนสองท่อน ราวปาฏิหาริย์ ออสการ์รอดตายโผล่ขึ้นมาเหนือน้ำได้อย่างวหวุดหวิด คนที่ยื่นมือมาช่วยออสการ์ ก็คือ คนที่คอยให้กำลังใจเขานั่นเอง เหมือนเอลี่กำลังจะบอกว่าขอให้เธอจงสู้ แต่ถ้าเมื่อไหร่ ที่เธอสิ้นไร้หนทาง และไม่เหลือใครแล้ว ฉันจะเป็นคนคอยปกป้องเธอเอง

เช้าของอีกวันบนขบวนรถไฟ มีแสงแดดอบอุ่นยามเช้าลอดเข้ามาทางหน้าต่างจางๆ ออสการ์ท่าทางสงบเงียบขรึม เหมือนที่เคยเป็นมา แตกต่างแค่แววตาที่เปลี่ยนไป ดวงตาที่ฉายแววแห่งความสุขแห่งการค้นพบ มิตรภาพ การเอาชนะตัวเอง การได้รัก การถูกรัก ได้เติมเต็มชีวิตในช่วงก้าวพ้นไวของเขาแล้ว ถึงแม้ไม่อาจล่วงรู้ได้ว่าวันข้างหน้า เขาจะได้เป็นคนรักของเอลี่ไปตลอดกาล หรือ กลายเป็นแค่ทาสรักของเธออีกคนหนึ่งเท่านั้นเอง

ตรวจสอบโปรแกรมฉายขณะนี้ได้ที่ http://houserama.exteen.com/

1 comment:

L0ui5 said...

เขียนได้ดีมากๆจริงๆครับ ตอนผมดูจบยังตีความจากหนังไม่ได้เท่านี้เลย