11/7/10

A film for my funeral "ที่รัก" (Eternity - Sivaroj Kongsakul) หนังไทยสมถะของ ศิวโรจณ์ คงสกุล ที่จริงใจ ไม่จิงโจ้

สำหรับพ่อแม่พี่น้องทุกแห่งหน รวมทั้งบางลี่ ท่าวุ้ง ลพบุรี และที่อื่น ๆ)

การพิมพ์ข้อความต่อไปนี้ อาจจะถูกมองว่า ฟุ้งหรือบ้า แต่ผมก็จะขอยืนยันพิมพ์ต่อไปอยู่ดี

“ที่รัก” ดูแล้ว ชอบแล้ว รักแล้ว แต่จะเสียดายมาก ถ้าปัญญาชนหรือนักวิจารณ์ปฏิเสธ “ที่รัก” เพราะความไม่เท่ ไม่คูล ไม่อวดฉลาด หรือมีสาระก้อนโตเพื่อมนุษยชาติ 

“ที่รัก” เป็นหนังที่เรียบง่าย สามัญ จริงใจ ทว่างดงาม มันพึงพอใจในความเป็นคนสมถะไม่วาดหวังสูงไกลตัว มันอาจจะไม่เฉียบคมและมีความลักลั่นอยู่บ้างในฐานะหนังใหญ่เรื่องแรก แต่มันก็เรียบเรียงมาอย่างมีชั้นเชิง โดยปลายนิ้วละเมียดของคนที่ยังมองเห็นแง่งามของความผูกพัน ความเอาใจใส่อายุทนนาน ซึ่งผู้ชมยุคไอพ็อด ไอแพ็ด...แค็ก แค็ก (กินยาแก้ไอหน่อยก็ดี) อาจจะรู้สึกเชย แปลกแยก เหินห่างหรือไม่สนิทใจจนเกินกว่าจะผ่อนคลายยอมรับ 

เพราะ ศิวโรจณ์ ทำหนังให้กับความทรงจำของแม่และพ่อของเขา ไม่ใช่แค่ทำหนังเพื่อตัวเอง

โลกชีวิตเร่งร้อนดูเหมือนจะมีพื้นที่ให้กับหนังขุ่นข้อง กดคั้น ด้านมืด ที่อัดปมขัดแย้ง ทะลักทะลายทะเลดราม่า ติดตาตรึงใจได้แน่นอนกว่า จนดูเหมือนหนังเกี่ยวกับความทรงจำด้านบวกอาจจะตกยุคตกสมัย สมควรให้โห่ฮาป่าลั่น 

เอาล่ะ หวังว่า ย่อหน้าข้างบนจะเป็นแค่เรื่องวิตกจริตเกินเหตุ 

แต่ผมพบแล้ว หนังที่เหมาะและวิเศษสุดกับงานศพของผม

หาก ศิวโรจณ์ และทีมงานทำหนังเข้าใจและไม่ถือเป็นการสบประมาท หวังว่าคงยินยอมอนุญาตให้ฉาย “ที่รัก” ในงานศพของผม (ผู้เขียน)

งานศพของผมควรจะเป็นงานรื่นเริง โดยยังหลงเหลือการมองโลกแบบแหงนสุข ไม่เหงาซึมเกินไป และหนังหวานนวล อมเศร้านิด ๆ เรื่องนี้อาจเหมาะสมที่สุดกับธุรกรรมใจหายใจคว่ำเยี่ยงนั้น

และแน่นอน วิญญาณของผมคงจะเดินทางไปต่ออย่างลิงโลด

for foreigners on abroad.


I know this is going to earn myself a dumber than ever title. Nevertheless, after years of losing faith in most Thai films. At Last! I found a film for my funeral (No Joke) 


Eternity, a film by Sivaroj Kongsakul

For my own funeral, I don’t want it to be grim or solemn. I would like it to be colorful! And this particular film would be ideal. The only film that is worthwhile and suitable. Even though I admired most of the great Maestros but no Bergman, Haneke or Tarkovsky please! My soul would be eternally blissful on the 7th heaven.


“Eternity” (Tee Rak). The last oddity and the only remaining belief in love and goodness in the time of popular “feel bad” films and hectic melancholia.

A good film can be so simple if only one can appreciate humility which requires no high ambition. No need to act cool full of mumbo jumbo and intellectual pretension. No need to hide by elliptical editing or deep philosophical messages. No need to expect filmic revoluntionary from a debut film.

Eternity may not exactly be a great masterpiece and far from flawless but it’s a great minor one for me. I hope there are still some audiences left for it.

My 3 Favorite Thai films of 2010.

Next to Uncle Boonmee I would put “Eternity” right behind as No. 2 and probably follow it with “Little Thing Called Love”.

4 comments:

Filmvirus said...

มีฉายอีกรอบ พุธ 10 พ.ย. 17.40 น. โรงหนัง Paragon 14 รอบนี้ฉายพร้อมคุยกับคนทำหนัง

Filmvirus said...

ใครที่อ่านข้อความข้างบน

ช่วยกรุณาแยกแยะระหว่างหนังดีที่สุด กับหนังที่มีความหมายที่สุดในชีวิตด้วยจ้า

Filmvirus said...

คุณ K. Matana เขียนเกี่ยวกับ “ที่รัก” ไว้งดงามน่าชม จึงเอามาฝากให้อ่านกัน

"ที่รัก"


เกือบครึ่งปีก่อน เราตื่นเต้นและสุขล้นเหลือที่ได้ค้นพบ นิรันดร ใน"ลุงบุญมีระลึกชาติ"

เหมือนฝันกลายเป็นจริง เหมือนได้เจอสิ่งที่ค้นหามานาน ปรากฎตัวตนอยู่ตรงหน้า

การไหลเลื่อนของเวลาที่วงแหวนวนมาบรรจบครบรอบ


เวลานี้ เราร้องไห้ให้กับความงาม ความสัมพันธ์ที่อยากให้เนิ่นนานชั่วนิรันดร์ ใน"ที่รัก"

ความงดงามที่ปวดร้าวอย่างเงียบๆที่เกิดขึ้นในชีวิต

ก้อยคงไม่ได้ยินเสียงร่ำไห้ของวิทย์ คำขอของก้อยก็คงไม่มีวันเป็นจริง

เหมือนเราอยู่คนละโลกเดียวกัน เหมือนเวลาเดินขนานคู่กัน


มีเพียงเสียงเพลง เสียงธรรมชาติอันไพเราะขับกล่อมชีวิตและวิญญาณ



บทสนทนาในชีวิตประจำวันของแม่กับลูกที่ดำเนินไปเรื่อยๆตอนท้ายเรื่อง

ภาพวิญญาณพ่อร้องไห้ตอนต้นเรื่อง และที่สุสานเมื่อแม่ถามว่าขออะไรสักอย่างได้ไหม

การพลัดพรากจากชั่วนิรันดร์ เป็นความจริงที่ปวดร้าว

ที่แทรกตัวอย่างเงียบๆในชีวิตของคนๆหนึ่งหรือครอบครัวหนึ่ง

และเราคงสุขและเศร้าที่อยู่ได้เพียงแค่ในความทรงจำที่งดงาม



วันพฤหัสบดีที่ ๖ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕...


เก็บปลายมุ้งเข้า

ใต้ลำน้ำ

แม้ฉันไม่อยู่

ฉันร่ำไห้

ไม่เคยลืมเลือน

Filmvirus said...

และที่คุณ ณัฐพงษ์ โอฆะพนม (Khunpeejo)เขียนถึง "ที่รัก" และ "น้ำตาลแดง ภาค 2" ในคอลัมน์ "หนังจอกว้าง" ของ นสพ. คม ชัด ลึก

http://www.komchadluek.net/detail/20101111/78932/ความเข้าใจในศิลปะของ‘น้ำตาลแดง2’และ‘ที่รัก’.html