(เริ่มต้นจาก) ซากสถาน สู่วิญญาณพเนจรของวารวัน
โดย อุทิศ เหมะมูล
หลังจากเกริ่นถึงประวัติคร่าวๆ ถึงผู้กำกับอเล็กซานเดอร์ คลูเก้อไปเมื่อฉบับที่แล้ว ตอนนี้เราจะมาพิจารณาหนังทั้ง 4 เรื่องของเขา โดยเริ่มต้นจากหนังเรื่องแรก ซึ่งเป็นหนังสั้นกึ่งสารคดีความยาวประมาณ 11 นาที เรื่อง BRUTALITY IN STONE หนังเรื่องนี้มีความสำคัญอย่างยิ่งยวด ด้วยว่าเป็นจุดกำเนิดให้เรามองเห็น โลกทัศน์ของคลูเก้อที่จะดำเนินอย่างแน่วแน่แข็งขันต่อไป ในการนำเสนอประเด็นสภาพสังคม การเมือง ยุคต่อๆ มาของเยอรมัน ซึ่งทอดตัวอยู่ภายใต้เงาของความย่อยยับหลังสิ้นสุดการปกครองของพรรคนาซี
อย่างที่เกริ่นไปฉบับที่แล้ว คลูเก้อเรียกร้องให้คนเยอรมันหันมาเผชิญหน้ากับสิ่งที่คนเยอรมันเคยเป็นส่วนหนึ่งในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 มากกว่านั้นคือการสังกัดพรรคนาซีเยอรมันภายใต้การนำของฮิตเล่อร์ บัดนี้ชาวเยอรมันกลับได้รับความปราชัยสองครั้งซ้อน หนึ่งคือพ่ายแพ้สงคราม สองนั้นเป็นประจักษ์พยานของการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวยิว คลูเก้อเรียกร้องว่านี่คือสิ่งที่เราไม่อาจหลบเร้นและทำหลงลืมไปได้ หากแต่ต้องหันหน้ามาเผชิญกับความละอายใจอย่างสง่าผ่าเผย
BRUTALITY IN STONE (1961) – ซากสถานแห่งความทะนงตน
หนังจับภาพให้คนดูพินิจพิจารณาอย่างถ้วนถี่ ถึงสถานบัญชาการของพรรคนาซีเยอรมันที่ถูกสร้างขึ้น ณ เมืองนืนแบร์ก โดยหวังจะให้เป็นศูนย์กลาง นครชาวอารยันที่ฮิตเล่อร์หวังใจไว้ หลังความพ่ายแพ้จากสงคราม สถานบัญชาการนี้กลายกลับเป็นอนุสรณ์สถานให้คนรุ่นหลังดูต่างหน้า เพื่อระลึกถึงความรโหฐานอันน่าครั่นคร้าม ความโอฬารที่น่าขนพอง ความเลือดเย็นของสถาปัตยกรรมที่ก่อสร้างด้วยหินผาซึ่งได้จารึกเลือดเนื้อและความตายของคนหลายแสนคนไว้ในสถาปัตยกรรมนั้น หนังขาวดำเรื่องนี้ฉายฉานโครงสร้างที่เคยรุ่งโรจน์ของมัน เป็นสถาปัตยกรรมสไตล์นีโอ-โรแมนติกที่ตระหง่านง้ำฟ้า
ขณะที่ภาพพาเราสำรวจผ่านขั้นบันได เสาหิน โค้งเพดาน ห้องหับรโหฐาน และต้นเสาที่ยืนเรียงเป็นแถวแนวดั่งทหารองค์รักษ์แสนเกรียงไกร ก็ตัดสลับด้วยเสียงบรรยายอย่างแสนเย็นชาแห่งที่มาของมัน อีกทั้งยังมีเสียงของฮิตเล่อร์ที่ที่ปลุกระดมคนในชาติซึ่งพวกเขาต่างพากันขานรับอย่างพร้อมเพรียง มีเสียงของผู้บังคับบัญชาการแห่งค่ายเอาท์วิทช์ และรายงานการบันทึกซึ่งแจกแจงถึงการกระทำอันเหี้ยมโหดต่อนักโทษชาวยิว ดังนี้ภาพสถาปัตยกรรมอันยิ่งใหญ่ถูกแทรกด้วยเสียงบรรยายของการกระทำอันเลือดเย็น เกิดเป็นความขัดแย้งทางภาพและเสียง ที่ให้ผลต่อการรับรู้ของคนดูในเชิงภาพหลอกหลอน
มากไปกว่านั้นหนังยังพาเราไปดูแบบร่างของสถาปัตยกรรมที่ออกแบบต้นร่างโดยฮิตเล่อร์ จากนั้นถูกขยายเป็นพิมพ์เขียว และอาณาจักรโมเดล ซึ่งหากแล้วเสร็จมันจะกลายเป็นนครที่ยิ่งใหญ่นครหนึ่ง อีกเช่นกันที่แทรกเสียงบรรยายของฮิตเล่อร์ที่ส่อนัยว่า หากเมืองเหล่านี้จะแล้วเสร็จได้ บ้านเมืองจะต้องถูกทำลายทิ้งเสียก่อน ต้องอพยพผู้คนออกไป เพื่อให้อาณาจักรนี้ได้ถือกำเนิดขึ้น
ภาพและเสียงใน BRUTALITY IN STONE นี้เองส่งผลสะท้านสะเทือนใจต่อการรับรู้ของผู้คน ดึงความทรงจำอันโหดเหี้ยมทารุณนั้นย้อนกลับมาอยู่เบื้องหน้าอีกครั้ง ตอนจบของหนังฉายฉานให้เห็นเศษซากหักพังบางส่วนของมัน แม้เราจะรับผู้ว่าบัดนี้มันเป็นเพียงอนุสรณ์สถานไปแล้วยังไงก็ตาม ทว่าความสูญเสีย เลือดเนื้อวิญญาณ เสียงร่ำไห้ และความหวาดผวานั้น กลับยังแฝงฝังอยู่ในคราบไคลของชั้นหินอย่างไม่อาจลบเลือน
นี้เองคือประวัติศาสตร์ที่คนเยอรมันต้องเผชิญหน้า ประวัติศาสตร์ที่ต้องข้ามพ้นอาการหลอกหลอน สู่การตระหนักถึงการมีอยู่ของอดีต และจะดำเนินชีวิตนับจากจุดนี้อย่างไรต่อไปในอนาคต
YESTERDAY GIRL (1966) วิญญาณพเนจรของวารวัน
‘สิ่งที่แยกเราออกจากวันวานไม่ใช่ห้วงเหว แต่เป็นสถานการณ์ที่แตกต่างออกไป’
นี่คือถ้อยคำขึ้นต้นก่อนหนังเข้าเรื่อง YESTERDAY GIRL หนังยาวเรื่องแรกของคลูเก้อ สานต่อแนวความคิดเดิมเรื่องการเผชิญหน้ากับอดีต ตัวละครที่ต้องรับมือกับภาระทางประวัติศาสตร์อย่างไร้แรงแข็งขืน แต่หาใช่ว่าตัวละครจะไม่พยายามนำพาตัวเองไปสู่สิ่งที่ดีกว่า หรือจุดหมายที่สูงส่งกว่า
เรื่องราวเหล่านี้ตัวผู้เขียนบทความพยายามยึดโยงให้เห็นเป็นเรื่องราวลำดับความ ซึ่งที่จริงแล้ว YESTERDAY GIRL ของคลูเก้อมีลักษณะแผกไปจากการลำดับความให้รู้เรื่องอย่างสิ้นเชิง นอกจากการเล่าเรื่องที่แทรกคั่นด้วยบทบรรยายนิรนาม (เสียงของคลูเก้อเอง) ที่ทั้งบอกให้เราเห็นใจอนิต้า หรือบรรยายสถานการณ์เฉยๆ หรือเสียงบรรยายเย็นชาจงใจไม่ให้คนดูรู้สึกร่วมกับอนิต้ามากนัก ล้วนเป็นจังหวะที่แปลกใหม่ในการเล่นล้อกับอารมณ์ความรู้สึกของคนดูทั้งสิ้น
No comments:
Post a Comment