10/8/08

ชุมนุม Retrospective ที่งาน World Film Festival of Bangkok ครั้งที่ 6

Derek Jarman Retrospective ที่งาน World Film Festival of Bangkok ครั้งที่ 6
(อ่านแล้ว กรุณาอย่าเผยแพร่คลิปนี้ต่อ)

6th World Film Festival of Bangkok

ระหว่าง 24 ต.ค. - 2 พ.ย. ที่ห้างสรรพสินค้าพารากอน

หนังปิดงานเป็นเรื่อง Shine a Light สารคดีคอนเสิร์ตที่สุดระทึกใจของวง Rolling Stones ที่กำกับโดย มาร์ติน สกอร์เซซี เรื่องนี้เพิ่งไปฉายโชว์ที่เทศกาลหนังเมืองคานส์ปี 2008 เมื่อพฤษภาคมที่ผ่านมานี้เอง มาเมืองไทยคราวนี้ข่าวว่า Shine a Light จะฉายโชว์นอกอาคาร กลางปาร์คของพาราก้อน เสียด้วย

แต่พิเศษสุดคือหนังชุด Derek Jarman Retrospective ซึ่งทาง World Film ได้รับความร่วมมือจาก British Council กรุงเทพ ฯ ขนฟิล์มหนังมาจัดฉายในโรงใหญ่เป็นครั้งแรก และนี่คงเป็นโอกาสแรก (และโอกาสเดียว) ของคนไทยที่จะได้ดูหนังของคนทำหนังระดับ Master ชาวอังกฤษท่านนี้บนจอใหญ่ของโรงภาพยนตร์ อย่าลืมว่าค่าเช่าฟิล์มชุดนี้ไม่ใช่ราคาถูก ๆ ราคาระดับแสนบาท งานนี้พลาดแล้ว พลาดเลย ฉายเพียงเรื่องละรอบเท่านั้น ดูดีวีดีอยู่บ้านจะครบรสชาติของหนัง ดีเร็ค จาร์มาน ได้ไงล่ะ

เสียดายหนัง ดีเร็ค จาร์แมน มีมาฉายแค่ 3 เรื่อง แต่อย่างว่าแหละ ค่าเช่าฟิล์ม + ขนฟิล์มมันแพง

Retrospective: Derek Jarman
The Angelic Conversation
Caravaggio
Jubilee

พอดูหนังชุด Derek Jarman Retrospective แล้วก็อย่าลืมดูหนังสารคดีที่ฉายในงาน World Film เรื่อง Derek ที่ Issac Julien กำกับ ซึ่งมี Tilda Swinton นักแสดงคนโปรดของ ดีเร็ค จาร์แมนเป็นคนเขียนบท

ถูกใจ Derek Jarman อย่างไร อย่าลืมอ่านบทความเกี่ยวกับ Derek Jarman อย่างละเอียดได้จากหนังสือ Filmvirus เล่ม 5: ฉบับปฏิบัติการหนังทุนน้อย (บทความนี้ปรับปรุง-เพิ่มเติมใหม่จากบทความ “ปฏิบัติการหนังทุนน้อย” ในนิตยสาร FILMVIEW เมื่อปี 2537) หาซื้อได้ที่ร้านหนังสือ คิโนะคุนิยะ พาราก้อน หรือสั่งซื้อทางไปรษณีย์ก็ได้

ดูรายละเอียดที่ http://www.onopen.com/wp-print.php?p=1636
หรือ http://filmsick.exteen.com/20070327/the-begining-of-the-end-of-filmvirus

แล้วหนังสือ Filmvirus และ Bookvirus เกือบทุกเล่มมีขายด้วยที่ งานมหกรรมหนังสือแห่งชาติ ที่ศูนย์สิริกิตติ์ ระหว่างวันที่ 11 - 23 ตุลาคม 2551 บู้ทอัลเตอร์เนทีฟ ไรเตอร์

โปรแกรมไฮไลท์อีกงานหนึ่งที่คอหนังส่วนใหญ่คงไม่ติดตามดูกัน (เช่นเดียวกับ ดีเร็ค จาร์แมน) เพราะเห็นว่าเป็นหนังเก่า ซึ่งหาดูเมื่อไหร่ก็ได้ (จริงหรือ ?) ก็คือ ชุดหนังคารวะผู้กำกับอาร์เจนติน่า Hector Babenco กับผู้กำกับอินเดีย Shyam Benegal สองคนนี้เรียกได้ว่าทำหนังดังระดับอินเตอร์หลายเรื่องทีเดียว รายแรกชื่อหนังของ Babenco ชาวอาร์เจนติน่า ถ้าเอ่ยชื่อไปคอหนังเป็นต้องร้องอ๋อ แถมเขายังได้ไปทำหนังฮอลลีวู้ด 2 เรื่อง แล้วกำกับดาราดังอย่าง เมอรีล สตรีพ, แจ็ค นิโคลสัน, แคธี่ เบตส์, ทอม แบแรนเจอร์, แดรีล ฮันนาห์ อีก

ส่วนในรายของ Shyam Benegal ผู้กำกับอินเดียนั้น ทาง กัลปพฤกษ์ แห่ง ดวงกมลฟิล์มเฮ้าส์ (ฟิล์มไวรัส) ก็เพิ่งฉายหนังบางเรื่องไปเมื่อไม่นานมานี้ แต่คราวนี้มาให้ดูเป็นฟิล์ม (ซึ่งแต่ละเรื่องหาดีวีดีดูได้ยากเข็ญ) ฉะนั้นความงดงามของภาพย่อมต้องดูดีแน่นอน

Tribute to Hector Babenco
Kiss of Spider Woman
The Past
Pixote: The Law Of Wicked


Tribute to Shyam Benegal
Manthan (1976)
Bhumika (1977)
Mandi (1982)
Samar (1998)
Zubeidaa (2001)

นอกเหนือจากนี้อย่าลืมดูหนังสารคดีเรื่องแรกของ Sandrine Bonnaire ดาราสาวฝรั่งเศสที่บ้านเราเพิ่งได้ชม A Nos Amours ไปที่งาน World Film ปีที่แล้ว เธอเป็นนักแสดงแถวหน้าของฝรั่งเศสที่โด่งดังจากหนังของ Maurice Pialat และปัจจุบันถ่ายหนังสารคดีเกี่ยวกับน้องสาวแท้ ๆ ของเธอที่เป็นโรคออติสติค สองพี่น้องคู่นี้หน้าตาคล้ายกันมาก ๆ น้องเธอจัดเป็นคนสวยไม่แพ้พี่สาวเลยทีเดียว ใครดูเรื่องนี้อาจต้องมีถอนหายใจดังเฮือกกับชีวิต แต่ตัวหนังก็ไม่ได้บีบคั้นให้หดหู่หรอกนะ ก็นี่มันไม่ใช่ละครทีวีบ้านเราสักหน่อย

ผู้กำกับหญิงอีกคนที่น่าจะเรียกได้ว่าเป็นคนทำหนังระดับ Master รุ่นใหม่ เธอคือ Lucrecia Martel คนทำหนังจากอาร์เจนติน่าที่มาแรงแซงโค้ง Fernando Solanas ใน 8 ปีที่ผ่านมา เธอเพิ่งเขียนบทและกำกับทำหนังแค่ 3 เรื่อง แต่เจ้าประคุณเอ๋ย อย่าง 2 เรื่องแรกงี้ La Ciénaga (The Swamp), The Holy Girl (La Niña santa) จะหาใครทำได้เท่านี้บ้างในบรดาคนทำหนังรุ่นใหม่ ยิ่งเรื่องแรก La Ciénaga (The Swamp) พอดูจบแล้วต้องเจาะจงให้มีเขียนถึงในหนังสือ 151 Cinema แทบไม่ทันปิดต้นฉบับ

ในงานปีนี้ก็จะมี The Headless Woman ของ Lucrecia Martel หนังใหม่ของเธอที่เพิ่งเข้าประกวดที่คานส์มา การที่หนังไม่ได้รางวัลไม่ใช่ปัญหา มันยิ่งแสดงว่าหนังอาจดีเกินกว่าที่กรรมการจะตามทันก็ได้ ประวัติศาสตร์หนังก็มีตัวอย่างให้เห็นบ่อย ต้องเห็นใจกรรมการที่นั่งดูหนังติดต่อกันจนตาลาย ไม่มีเวลาพักผ่อนดื่มนมเติมแคลเซียม หนังบางเรื่องต้องให้เวลาซึมซับ ไม่ใช่อัดยัดทะนานจนท้องอืด (ว่าแต่วันนี้น้อง ๆ หนู ๆ ชิมนมแพะหรือยัง - เห็นล่าสุดเขาว่านมควายก็ยิ่งดี)

ฝากความเป็นห่วงถึงกรรมการเมืองคานส์ไปโน่น ทีตัวเองไม่รู้จักดูสังขาร ใครใคร่ดูก็ไปดู ที่ยังแข็งแรงออกจากบ้านได้ก็เชิญเถิด เดี๋ยวอีกหน่อยโรงหนังตายหมดจากโลก หรือแก่ฝ้าฟางเขย่าแข้งเอลวิสไม่ไหว เมื่อนั้นค่อยดูหนังที่บ้านก็ยังได้เนาะ

7 comments:

Anonymous said...

แวะมากรี๊ด แม้จะเอาไปแปะต่อไม่ได้ก็ตาม

เพิ่งดูTHE GARDEN (A+++++++++++++++++)

เสียดายที่ตลอดทั้งเทศกาลจะได้ดูแค่ JUBILEE เท่านั้น (ที่เหลือฉายในวันที่กลับไปทำงาน)ฮือฮือ

Filmvirus said...

มันไม่มีสาระ จะเอาไปแปะทำไมล่ะชาย

เอาโฆษณาที่เขียนเองไปแปะนอกบ้านคงไม่ดี

Anonymous said...

หาคนเขียนเขชียร์ ดีเรค จาร์แมนครับ
ผมดุแค่เรื่องเดียวเขียนเชียร์ไม่ถนัด

อนึ่งแก้เฮดบลอกต้อนรับกันเลยทีเดียว

Anonymous said...

ขอบพระคุณรุนช่องอย่างสูงค้าบพี่

แต่แหม เขียนแทบตาย แต่ไม่ได้เผยแพร่จะเสียแรงเปล่านา

เวิร์ลฟิล์มก็มีบล๊อกเหมือนกัน
www.worldfilmbkk.blogspot.com

นายกร๊วก

Filmvirus said...

ว้าว มีบล็อกเวิล์ดฟิล์มด้วย ขอบคุณนายกร๊วก ที่ส่งข่าวมา อยากไปดูหนังบ้างจัง แต่ถ้าไปต้องยืนดู ห้ามนั่ง (ก็ลมมันเย็น)


ที่งานหนังสือปีนี้เห็นมี kiss of spider woman สภาพยังใหม่ เล่มละ 100 บาท

Anonymous said...

อ้าวไม่มาดูงานนี้แล้วจะมาดูงานไหน จะมีงานไหนที่จ้าบไปกว่านี้อีกในปรโลก หรือจะรอเทศกาลหนัง Atlantis
ไปๆมาๆชักจะเชื่อแล้วนะเนี่ย ว่าพี่ยอมพ่ายแพ้ต่ออายุขัย หุหุ

เรื่องบล๊อก อะแฮ่ม! พูดแล้วจะหาว่าคุย นอกจากบล๊อกแล้วยังมีทั้ง Channel ทั้ง twitter ด้วย

youtube
www.youtube.com/wffbkk

twitter
www.twitter.com/wffbkk




นายกร๊วก

Filmvirus said...

น้องกร๊วกเอ๋ย แค่การตื่น-การนอนก็เป็นความลำบากของชีวิตพี่ซะแล้ว การดูหนังแต่ละเรื่องให้จบมันยิ่งไม่ง่ายเข้าไปใหญ่

คิดแล้วหดหู่ วันหนึ่ง ๆ พี่นั่งทำงานได้แค่ไม่เกิน 3 ชั่วโมง หนังสือทาร์คอฟสกี้ก็ทิ้งค้าง บทหนังก็ไปไม่รอด งานบ้านก็ต้องทำ นี่ดันไปรับปากเขียนให้ "อ่าน" อีกแน่ะ คราวนี้พี่คงจะไม่รอด

แต่ถึงพี่ไม่ไปดูก็ส่งใจให้นะ ดีใจที่เวิล์ดฟิล์มเอาหนังดี ๆ มาให้คนดู คนดูหนังก็เติบโตขึ้นทุกวัน คนที่เคยอ่านฟิล์มไวรัสแล้วด่า ๆ ก็คงจะรู้สักวัน ว่าวันหนึ่งย่อมหนีหนังบ้าบอพวกนี้ไปไม่พ้น ถ้าไม่ได้ดูของแท้ ก็อาจได้ดูหนังที่รับอิทธิพล หรือกระทั่งหนังรีเมค